Page 221 - แผนปฏิบัติราชการ 2568
P. 221
- ๑๘๑ -
โครงการพัฒนาระบบบริการสุขภาพให้มีการใช้ยาอย่างสมเหตุผล (RDU)
และการจัดการการดื้อยาต้านจุลชีพ (AMR) ในสถานพยาบาล ปีงบประมาณ พ.ศ. 2568
๑. หลักการและเหตุผล
กระทรวงสาธารณสุข มีนโยบายการพัฒนาระบบบริการสุขภาพให้มีการใช้ยาอย่างสมเหตุผล
และมีการจัดการการดื้อยาต้านจุลชีพ (RDU - AMR) ซึ่งเป็นแผนพัฒนาระบบบริการสุขภาพ (Service plan)
ที่ 15 โดยมุ่งเน้นการพัฒนาประสิทธิภาพด้านการบริหารจัดการ ให้ระบบบริการมีคุณภาพ ได้มาตรฐาน
พัฒนาศักยภาพบุคลากร ส่งเสริมระบบส่งต่อ ลดความแออัด และจัดสรรทรัพยากรได้อย่างเหมาะสม
เพื่อให้ประชาชนได้รับการรักษาด้วยยาอย่างมีประสิทธิภาพ ปลอดภัยและลดความสิ้นเปลืองทางเศรษฐกิจ
รวมทั้งลดปัญหาการดื้อยาต้านจุลชีพ โดยมุ่งเน้นการปรับปรุงคุณภาพการให้บริการทางการแพทย์
ในสถานพยาบาล เพื่อให้เกิดการใช้ยาที่ถูกต้อง ปลอดภัย และมีประสิทธิภาพในประชาชน
โดยในปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 ได้มีการวางนโยบายและยุทธศาสตร์ที่ชัดเจนในการดำเนินโครงการนี้ ได้แก่
เน้นการวิจัยและพัฒนาความรู้เกี่ยวกับการใช้ยาอย่างถูกต้อง และการลดการดื้อยาต้านจุลชีพ ส่งเสริม
การเรียนรู้และการฝึกอบรมให้แก่บุคลากรทางการแพทย์ ให้ความรู้แก่ประชาชนเกี่ยวกับการใช้ยาอย่าง
มีเหตุผล รวมถึงการสร้างฐานข้อมูลเกี่ยวกับการดื้อยาที่สามารถใช้ในการวิเคราะห์และปรับปรุงแนวทาง
การรักษา
โครงการนี้มีการกำหนดนโยบายและข้อบังคับเกี่ยวกับการใช้ยาและการจัดการการดื้อยา เช่น
การควบคุมการจ่ายยาและการใช้ยาตามใบสั่งแพทย์เท่านั้น การประเมินการใช้ยาตามเกณฑ์การสั่งยาปฏิชีวนะ
(Drug Use Evaluation) และการส่งเสริมการใช้ยาทางเลือกที่ไม่ต้องพึ่งพายาต้านจุลชีพ ใน 4 กลุ่มโรค ได้แก่
ติดเชื้อทางเดินหายใจส่วนบน ท้องเสียเฉียบพลัน บาดแผลสด และหญิงตั้งครรภ์คลอดปกติ รวมถึง
การประสานงานระหว่างหน่วยงานต่าง ๆ ทั้งในระดับชาติและระดับนานาชาติ เพื่อสร้างเครือข่ายการดูแล
สุขภาพที่มีประสิทธิภาพ การใช้เทคโนโลยีในการติดตามและประเมินผลการใช้ยา และการสร้างโปรแกรม
การอบรมและการให้คำปรึกษาเกี่ยวกับการใช้ยาแก่บุคลากรทางการแพทย์ ส่งผลให้ช่วยลดค่าใช้จ่าย
ด้านสุขภาพในระยะยาว โดยการลดการใช้ยาที่ไม่จำเป็นและการลดการรักษาที่ไม่จำเป็น
ปัจจุบัน โครงการพัฒนาระบบบริการสุขภาพให้มีการใช้ยาอย่างสมเหตุผล (RDU) และการจัดการ
การดื้อยาต้านจุลชีพ (AMR) ต้องเผชิญกับหลายปัญหาและความท้าทาย โดยหนึ่งในปัญหาหลักคือการใช้ยา
ที่ไม่สมเหตุผลในประชาชนและบุคลากรทางการแพทย์ จากข้อมูลขององค์การอนามัยโลก (WHO)
พบว่า 50% ของการใช้ยาในทั่วโลกไม่ถูกต้อง ซึ่งรวมถึงการใช้ยาต้านจุลชีพที่ไม่จำเป็น ส่งผลให้การดื้อยาต้านจุลชีพ
เพิ่มขึ้น นอกจากนี้ ข้อมูลจากกรมควบคุมโรคของประเทศไทยยังระบุว่ามีการใช้ยาต้านจุลชีพในรูปแบบ
ที่ไม่ถูกต้องมากถึง 40% ของการจ่ายยาทั้งหมด ส่งผลให้อัตราการเกิดเชื้อดื้อยาทั้งในโรงพยาบาลและชุมชน
มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ได้แก่ การสั่งยาปฏิชีวนะและยารักษาอาการอื่น ๆ ที่ไม่จำเป็นในสถานพยาบาล
หลายแห่ง เช่น การสั่งยาปฏิชีวนะในการรักษาโรคติดเชื้อไวรัสที่ไม่ต้องใช้ยาดังกล่าว การใช้ยาที่ไม่ตรงกับโรค
หรืออาการ เช่น การใช้ยาปฏิชีวนะสำหรับโรคที่ไม่ต้องการยาปฏิชีวนะ การสั่งยาหลายชนิดที่มีผลการรักษา
เหมือนกันหรือคล้ายคลึงกันทำให้เกิดความเสี่ยงต่อผู้ป่วยและเพิ่มค่าใช้จ่าย การใช้ยาปฏิชีวนะอย่างไม่ถูกต้อง
ทำให้เกิดเชื้อดื้อยาซึ่งทำให้การรักษาโรคติดเชื้อยากขึ้น ผู้ป่วยที่ติดเชื้อดื้อยามีโอกาสเกิดการติดเชื้อซ้ำซ้อน
ที่รุนแรงและต้องใช้ยาที่แรงขึ้นและแพงขึ้น
ความท้าทายในอนาคต ได้แก่ การเพิ่มขึ้นของการดื้อยาต้านจุลชีพ ซึ่งอาจทำให้โรคติดเชื้อ
ที่เคยรักษาได้ง่ายกลายเป็นโรคร้ายแรงที่รักษาได้ยากขึ้น การปรับปรุงและพัฒนาระบบการติดตาม
และประเมินผลการใช้ยาอย่างสมเหตุผลในทุกระดับ รวมถึงการสร้างความตระหนักรู้และการเปลี่ยนแปลง
แนวปฏิบัติ...