Page 153 - แนวทางการขอใช้ที่ศาสนสมบัติของหน่วยงาน
P. 153
หน้า ๕
เล่ม ๑๓๕ ตอนพิเศษ ๔๙ ง ราชกิจจานุเบกษา ๖ มีนาคม ๒๕๖๑
ข้อ ๑๓ เมื่อสํานักงานอัยการสูงสุดได้รับหนังสือเสนอข้อพิพาทจากคู่กรณีฝ่ายที่เรียกร้องแล้ว
ให้พิจารณามีหนังสือแจ้งข้อเรียกร้องของคู่กรณีฝ่ายที่เรียกร้องไปยังคู่กรณีฝ่ายที่ถูกเรียกร้องเพื่อให้ชี้แจง
แก้ข้อเรียกร้องดังกล่าว ในกรณีนี้ให้คู่กรณีฝ่ายที่ถูกเรียกร้องชี้แจงข้อเท็จจริงและเหตุผลว่าจะรับหรือ
ปฏิเสธความรับผิดตามที่ถูกเรียกร้องภายในระยะเวลาที่สํานักงานอัยการสูงสุดกําหนด
ในกรณีที่คู่กรณีฝ่ายที่ถูกเรียกร้องมิได้ชี้แจงข้อเท็จจริงและเหตุผลภายในระยะเวลาตามวรรคหนึ่ง
โดยไม่มีเหตุอันสมควร ให้ถือว่าคู่กรณีฝ่ายที่ถูกเรียกร้องสละสิทธิในการชี้แจงข้อเท็จจริงและเหตุผล
เกี่ยวกับข้อพิพาทที่ถูกเรียกร้อง และให้สํานักงานอัยการสูงสุดดําเนินการต่อไป
ข้อ ๑๔ ในการพิจารณาระงับข้อพิพาท ให้สํานักงานอัยการสูงสุดเปิดโอกาสให้คู่กรณีรับทราบ
ข้อเท็จจริงและตรวจเอกสารอย่างเพียงพอ รวมทั้งชี้แจงและแสดงพยานหลักฐานประกอบข้ออ้างหรือข้อเถียง
ของตนตามควรแก่กรณี
ข้อ ๑๕ ให้สํานักงานอัยการสูงสุดมีอํานาจที่จะไกล่เกลี่ยให้คู่กรณีได้ตกลงกัน หรือ
ประนีประนอมยอมความกันในข้อพิพาท
ข้อ ๑๖ เมื่ออัยการสูงสุดได้มีคําวินิจฉัยเกี่ยวกับความรับผิดตามข้อเรียกร้องในข้อพิพาท
เรื่องใดแล้ว ให้สํานักงานอัยการสูงสุดมีหนังสือแจ้งคําวินิจฉัยให้คู่กรณีทราบ เพื่อให้คู่กรณีได้มีโอกาส
เจรจาตกลงกันหรือแสดงเหตุผลโต้แย้งคําวินิจฉัยดังกล่าว และให้คู่กรณีแจ้งผลการเจรจาตกลง
หรือเหตุผลโต้แย้งคําวินิจฉัยภายในระยะเวลาที่สํานักงานอัยการสูงสุดกําหนด
ในกรณีที่คู่กรณีทุกฝ่ายเห็นพ้องกับคําวินิจฉัยของอัยการสูงสุด ให้คําวินิจฉัยนั้นเป็นอันยุติและ
ผูกพันคู่กรณี และให้คู่กรณีถือปฏิบัติตามคําวินิจฉัยของอัยการสูงสุดดังกล่าวต่อไป
ในกรณีที่ไม่ปรากฏว่าคู่กรณีทุกฝ่ายเห็นพ้องกับคําวินิจฉัยของอัยการสูงสุดภายในระยะเวลา
ที่กําหนดตามวรรคหนึ่ง หรือคู่กรณีฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดได้แสดงเหตุผลโต้แย้งคําวินิจฉัยของอัยการสูงสุด
แล้วแต่กรณี ให้สํานักงานอัยการสูงสุดเสนอข้อพิพาทดังกล่าวต่อคณะกรรมการเพื่อพิจารณาชี้ขาดต่อไป
ข้อ ๑๗ เมื่อคณะกรรมการได้พิจารณาข้อพิพาทของคู่กรณีและมีคําวินิจฉัยชี้ขาดเป็นประการใดแล้ว
ให้คําวินิจฉัยชี้ขาดเป็นที่สุด และให้สํานักงานอัยการสูงสุดมีหนังสือแจ้งคําวินิจฉัยชี้ขาดดังกล่าวให้คู่กรณีทราบ
ภายในสามสิบวันนับแต่วันที่คณะกรรมการได้รับรองมติเกี่ยวกับข้อพิพาท เพื่อให้คู่กรณีถือปฏิบัติตาม
คําวินิจฉัยชี้ขาดดังกล่าวต่อไป
เมื่อสํานักงานอัยการสูงสุดได้แจ้งคําวินิจฉัยชี้ขาดให้คู่กรณีทราบแล้ว หากปรากฏว่าคู่กรณี
ฝ่ายที่ต้องรับผิดไม่ปฏิบัติตามคําวินิจฉัยชี้ขาดของคณะกรรมการภายในเวลาหกสิบวันนับแต่วันที่
ได้รับแจ้งคําวินิจฉัยชี้ขาด ให้คู่กรณีอีกฝ่ายหนึ่งมีหนังสือแจ้งให้สํานักงานอัยการสูงสุดทราบ
เมื่อสํานักงานอัยการสูงสุดได้รับแจ้งตามวรรคสองแล้ว ให้มีหนังสือแจ้งเตือนคู่กรณีฝ่ายที่
ต้องรับผิดให้ปฏิบัติตามคําวินิจฉัยชี้ขาดดังกล่าว หากคู่กรณีฝ่ายที่ต้องรับผิดยังเพิกเฉยไม่ปฏิบัติตาม
ให้มีหนังสือเสนอให้ประธานกรรมการมีหนังสือถึงรัฐมนตรีเจ้าสังกัดหรือผู้มีอํานาจกํากับหรือควบคุมดูแล
หน่วยงานของรัฐแห่งนั้นเพื่อแจ้งให้คู่กรณีฝ่ายที่ต้องรับผิดปฏิบัติตามคําวินิจฉัยชี้ขาดดังกล่าว และหาก
ยังคงเพิกเฉยอยู่อีกให้ประธานกรรมการเสนอเรื่องต่อนายกรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาสั่งการตามที่เห็นสมควรต่อไป