Page 255 - แนวทางการพัฒนาการจัดระบบบริการสุขภาพ
P. 255
คู่มือแนวทางการอบรมหลักสูตรพระคิลานุปัฏฐาก (พระอาสาสมัครส่งเสริมสุขภาพประจำวัด-อสว.)
เมื่อพระพุทธองค์ยังทรงพระชนม์ชีพอยู่ พระองค์ตรัสถึงมรณสติให้พระสาวกน้อมระลึกและนำไป
ปฏิบัติอยู่เสมอ เมื่อพระองค์ตรัสถึงความไม่เที่ยงของชีวิต พระองค์จะไม่ตรัสเพียงเท่านั้น แต่จะตรัสต่อไปว่า
ให้เร่งปฏิบัติหรือทำความดี เช่น มีพุทธพจน์ตอนหนึ่งกล่าวว่า “รีบทำความเพียรเสียแต่วันนี้ ใครเล่าจะรู้ว่า
พรุ่งนี้ความตายจะมาเยือนหรือไม่” (อชฺเชว กิจฺจมาตปฺปํ โก ชญฺ?า มรณํ สุเว) บางสำนวนก็แปลว่า ความเพียร
เป็นกิจที่ต้องทำวันนี้ ใครรู้ความตายแม้วันพรุ่งนี้
ในปัจฉิมพุทธโอวาทพระองค์ก็ตรัสทำนองนี้ว่า “สังขารทั้งหลายมีความเสื่อมไปเป็นธรรมดา ท่าน
ทั้งหลายจงทำความไม่ประมาทให้ถึงพร้อมเถิด” (วยธมฺมา สงฺขารา อปฺปมาเทน สมฺปาเทถ วยธมฺมา สงฺขารา
อปฺปมาเทน สมฺปาเทถ) สังขารทั้งหลายมีความเสื่อมไปเป็นธรรมดา นั้นคือทุกชีวิตต้องตาย ดังนั้นจะต้องเร่งทำทำ
ความเพียรให้เต็มที่ อย่าปล่อยเวลาให้ล่วงเลยไปโดยเปล่าประโยชน์ เห็นได้ว่าพระองค์จะไม่ตรัสถึงความตายเฉยๆ
แต่จะเตือนให้เร่งทำความดีควบคู่ไปด้วย หรือไม่ก็ให้ถามตัวเองว่า เราทำความดีมามากน้อยเพียงใด
ในพระสูตรบทหนึ่ง พระองค์ได้กระตุ้นให้พระสาวกเร่งทำความเพียร โดยระลึกถึงความตายอยู่เสมอ
เพราะเหตุที่จะทำให้ตายนั้นมีมากมาย เช่น งูพิษกัด แมลงป่องต่อย ตะขาบกัด หาไม่ก็เพราะหกล้ม อาหารไม่ย่อย
ดีซ่าน เสมหะกำเริบ หรือลมเป็นพิษ อาจจะตายเพราะถูกมนุษย์หรืออมนุษย์ทำร้ายก็ได้ จึงสามารถตายได้
ทั้งกลางวันและกลางคืน ดังนั้น จึงควรพิจารณาว่า บาปหรืออกุศลธรรมที่ยังไม่ได้ละ มีหรือไม่ ถ้ายังมี ก็ให้เร่ง
ละบาปหรืออกุศลธรรมนั้น ขณะเดียวกันก็ให้หมั่นเจริญกุศลธรรมให้เพิ่มพูนทั้งกลางวันและกลางคืน
จะเห็นว่า พระองค์ไม่ได้ตรัสเพียงแค่ให้เตือนตนเสมอว่าเราจะตายเมื่อไรไม่รู้ แต่พระองค์ยังย้ำว่า
เราต้องเร่งทำความดี ละอกุศลธรรม และสร้างกุศลธรรมให้มาก
มรณสติในชีวิตประจำวัน
ทีนี้ขอให้โยงกลับมาถึงเรื่องการดำเนินชีวิตในยุคสมัยปัจจุบัน การเจริญมรณสติเป็นสิ่งที่เราควรทำอยู่
เสมอ เพื่อเราจะได้ไม่อยู่แบบลืมตาย ใหม่ๆ การเจริญมรณสติอาจจะเกิดจากการได้ยินได้ฟังพระสงฆ์หรือ
ครูบาอาจารย์ท่านพูดอย่างนี้ หรืออ่านพระไตรปิฎกได้พบข้อความอย่างนี้ เราฟังแล้วอ่านแล้วก็จำเอาไว้ แต่การ
ได้ยินได้ฟังได้อ่านเท่านี้ยังไม่พอ จะต้องน้อมระลึกอยู่เสมอ การน้อมระลึกหรือการเจริญมรณสติทำได้หลายอย่าง
จะยกตัวอย่างสามประการ
หนึ่ง ซ้อมตายหรือฝึกตาย ก่อนที่เราจะหลับลองซ้อมตายดู คือ นอนราบกับพื้น ทำใจผ่อนคลาย ปล่อยวาง
เรื่องที่กังวลไม่ว่าจะเป็นอดีตหรืออนาคต แล้วลองทำใจให้สงบ พิจารณาหรือน้อมนึกไปว่า คืนนี้อาจเป็นคืน
สุดท้ายของเรา อีกไม่กี่นาทีข้างหน้าร่างนี้ก็จะไม่มีลมเข้าออก ที่เคยเคลื่อนไหวได้ก็จะแน่นิ่ง ที่เคยอุ่นก็เริ่มเย็น
ที่เคยยืดหยุ่นได้ก็เริ่มแข็ง
ในขณะที่กำลังจะหมดลม ขอให้นึกลึกถึงสิ่งต่างๆ ที่เรามีอยู่ เช่น ทรัพย์สมบัติเป็นต้น พิจารณาว่าเมื่อเรา
ต้องตาย ทรัพย์สมบัติที่เราอุตส่าห์แสวงหาสะสมมา สิ่งมีค่าที่เราหวงแหนรักษาไว้ ของรักของหวงที่เราไม่อยาก
ให้ใครมาแตะต้อง ทั้งหมดนี้เราจะเอาไปไม่ได้เลยแม้แต่อย่างเดียว จะไม่เหลืออะไรที่เป็นของเราเลย ไม่ว่าเราจะรัก
หรือหวงแหนแค่ไหน ทั้งหมดนี้จะต้องตกเป็นของบุคคลอื่น
งานการก็เช่นเดียวกัน เมื่อเราสิ้นลม งานการที่เราอุตส่าห์เพียรทำมา หรือที่ยังคั่งค้างอยู่ เราจะต้อง
ทิ้งหมด ไม่สามารถจะทำอะไรได้อีกแล้ว ลูกหลานที่เรารัก ที่เราพาไปโรงเรียนทุกวัน ที่เราได้พบทุกเช้า ที่เราแสนรัก
แสนห่วง เราจะต้องพรากจากเขา เช่นเดียวกับพ่อแม่ที่แก่เฒ่า เราจะต้องพรากจากเขาเหล่านั้นไปหมด ไม่สามารถ
ที่จะดูแลหรือตอบแทนบุญคุณได้อีกต่อไป
ลองพิจารณาทีละเรื่อง ทีละอย่างเช่น ทรัพย์สมบัติ งานการ ลูกหลาน พ่อแม่ สามีภรรยา มิตรสหาย และ
ผู้คนที่เรารัก ที่มีความหมายต่อชีวิตของเรา ทั้งหมดนี้จะถูกพรากด้วยน้ำมือของความตาย ให้เราพิจารณาแต่ละ
อย่างดู แล้วถามใจเราดูว่า เราพร้อมที่จะจากทรัพย์สมบัติเหล่านั้นไปไหม เราพร้อมจะทิ้งงานการไว้ข้างหลังหรือไม่
และเราพร้อมที่จะจากลูกหลาน พ่อแม่ และคนรักไปหรือเปล่า
๑๗๙