Page 260 - แนวทางการพัฒนาการจัดระบบบริการสุขภาพ
P. 260
คู่มือแนวทางการอบรมหลักสูตรพระคิลานุปัฏฐาก (พระอาสาสมัครส่งเสริมสุขภาพประจำวัด-อสว.)
โกรธกันไปทำไม อีกไม่นานก็ต้องตายจากกัน บางคนเล่าว่าพอนึกถึงความตาย ก็ได้คิดว่าเรื่องที่ทะเลาะกันนั้น
เป็นเรื่องเล็กน้อยมาก คนเราเวลามีความทุกข์อะไรก็ตาม ลองนึกถึงความตายบ้าง จะรู้สึกเลยว่าที่กำลังทุกข์อยู่นี้
เป็นเรื่องเล็กน้อยมากเมื่อเทียบกับความตาย พอคิดอย่างนี้ได้ความทุกข์จะเบาบางหรือหลุดไปทันที
มรณสติจะเตือนใจให้เราปล่อยวางทุกสิ่ง ไม่ว่าคนรักของหวง รวมทั้งสิ่งไม่ดีที่ติดค้าง
ในใจ
ประการที่สาม มรณสติช่วยเตือนให้เราเห็นคุณค่าของสิ่งที่เรามีอยู่ในปัจจุบัน เราไม่ค่อยเห็นคุณค่าของ
วันนี้หรือวันพรุ่งนี้ เพราะเราคิดว่าเรายังจะมีเวลาอยู่ได้อีกหลายปี แต่ถ้าเรารู้ว่าเราต้องตายคืนนี้ แต่ละนาทีที่ยัง
มีชีวิตอยู่จะกลายเป็นสิ่งมีค่าทันที เราจะไม่ปล่อยให้ผ่านเลยไปโดยเปล่าประโยชน์หรือไร้สาระ คนที่เป็นมะเร็ง
แล้วรู้ว่าจะมีเวลาอยู่ในโลกนี้ได้อีกไม่กี่เดือน จะรู้สึกเลยว่าแต่ละวันมีความหมายมาก
ในทำนองเดียวกันหากเราเตือนใจตัวเองว่าลูกหลาน คนรัก และพ่อแม่ของเรา เขาอาจจะตายวันนี้หรือ
วันพรุ่งนี้ก็ได้ เราจะรู้สึกเลยว่าการที่เขายังมีชีวิตอยู่กับเรานั้นเป็นสิ่งที่มีค่ามาก แต่ละวันแต่ละชั่วโมงที่เขายังอยู่กับเรา
จะมีความหมายมาก เราจะไม่ปล่อยให้ผ่านไปโดยเปล่าประโยชน์ เราจะให้เวลากับเขาอย่างเต็มที่ เราจะทำดีกับเขา
อ่อนโยนนุ่มนวลกับเขา ไม่กระด้างหมางเมินเขา ขณะเดียวกันเราจะรู้สึกว่าการที่เขายังมีชีวิตอยู่กับเรา
แค่นี้ก็มีความสุขแล้ว ไม่ต้องมีชื่อเสียง ไม่ต้องมีเงินทองมาก ไม่ต้องมีบริษัทบริวารมากก็ได้ เพียงแค่คนที่เรารัก
ยังอยู่กับเรา ยังไม่ตายไปจากเรา แค่นี้ก็นับว่าเป็นโชคดีแล้ว
สุขภาพร่างกายก็เช่นกัน ถ้าเรารู้ว่าสักวันหนึ่งเราต้องแก่ ต้องเจ็บป่วย อาจจะพิการหรือทุพพลภาพ เราจะ
รู้สึกเลยว่าการมีสุขภาพแข็งแรงเป็นสิ่งที่มีค่า จะไม่ใช้ร่างกายให้สิ้นเปลืองไปอย่างไร้สาระ มีแต่จะใช้ให้เกิด
ประโยชน์เต็มที่ รวมทั้งสร้างความดีงามให้เกิดขึ้นแก่โลก ขณะเดียวกันก็จะตระหนักว่าการที่เรายังเดินเหินไปไหน
มาไหนได้ ไม่เจ็บป่วย ไม่พิกลพิการ ก็ถือว่าเป็นโชคอันประเสริฐแล้ว ไม่ช้าก็เร็วเราจะไม่มีโอกาสทำอย่างนั้นได้อีก
ถ้าเราหมั่นเจริญมรณสติในแง่นี้ เราจะมีความสุขได้ง่ายขึ้น เราจะพบว่าเรามีของดีอยู่กับตัวหรือรอบตัวแล้ว
ไม่ต้องแสวงหาหรือดิ้นรนมากไปกว่านี้ก็ยังได้ มันจะช่วยให้เราใช้ชีวิตอย่างโปร่งเบาได้จริงๆ ขณะเดียวกัน
ก็กระตุ้นให้เราหมั่นทำความดี มรณสติจึงไม่ได้ช่วยให้เราตายอย่างสงบเท่านั้น แต่ยังช่วยกระตุ้นเตือนให้เรา
ดำเนินชีวิตได้อย่างมีคุณค่า อย่างถูกต้อง ไม่ปล่อยเวลาให้เปล่าประโยชน์ หรือดำเนินชีวิตไปในทางที่เสียหาย
เจริญไตรสิกขา
การเจริญมรณสติมีอานิสงส์มากดังที่กล่าวมา อย่างไรก็ตาม ถ้าเราอยากอยู่ดีและตายดี การเจริญ
มรณสติอย่างเดียวยังไม่เพียงพอ การเจริญมรณสติเป็นเพียงส่วนหนึ่งของการฝึกฝนพัฒนาตนที่เรียกว่าจิตสิกขา
ยังมีจิตสิกขาอีกหลายอย่างที่เราควรทำ และนอกจากจิตสิกขาแล้ว ยังมีศีลสิกขาและปัญญาสิกขาด้วย ทั้งหมดนี้
เรียกรวมว่า ไตรสิกขา คือการฝึกฝนกายวาจาจิตและปัญญาให้ถึงพร้อม
ศีลสิกขาคือการฝึกฝนกายวาจาให้สะอาด ด้วยการทำความดี ทำบุญทำกุศล ไม่เบียดเบียนใคร ถ้าเราทำ
สิ่งนี้มาโดยตลอด จะเป็นปัจจัยช่วยให้เราตายดีได้ ดังพระพุทธเจ้าตรัสว่า “บุญย่อมทำให้เกิดสุขในเวลาสิ้นชีวิต”
(ปุญฺญํ สุขํ ชีวิตสงฺขฺยมฺหิ) แต่เพียงแค่ศีลสิกขาก็ยังไม่พอ ต้องเจริญจิตตสิกขาด้วย เพราะแม้เราจะเป็นคนดีมีศีล
แต่เราอาจต้องเจ็บป่วยด้วยโรคร้าย เช่น มะเร็ง ทำให้ทุกข์ทรมาน หรือต้องตายด้วยอุบัติเหตุ มีทุกขเวทนา
มารบกวนจิตใจ ถ้าเราไม่รู้จักเจริญจิตตสิกขา เช่น เจริญสติหรือทำสมาธิภาวนาเลย เราจะรับมือกับทุกขเวทนาไม่อยู่
ทำให้เราตายสงบได้ยาก
แต่เจริญศีลสิกขาแล้ว เจริญจิตสิกขาแล้ว เรายังจำเป็นต้องเจริญปัญญาสิกขา คือการพัฒนาใจให้สว่างไสว
ด้วยปัญญา ซึ่งมีหลายวิธี แต่ที่สำคัญคือการเจริญวิปัสสนากรรมฐาน เพื่อให้เห็นความจริงของกายและใจ จนถึงขั้น
ที่เรียกว่า ละวางจากความยึดมั่นในตัวตนได้ เพราะว่าตราบใดที่คนเรายังมีความยึดมั่นถือมั่นในตัวตน หรือ
มีตัวกูของกูอยู่ เราก็ยังต้องกลัวความตาย มีศัพท์ที่คนไทยเราคุ้นดีก็คือ “รักตัวกลัวตาย” คนบางคนถึงจะไม่
๑๘๔