Page 77 - ผลงานวิชาการระบบส่งต่อ 2567
P. 77
พญ.กรกนก ก่อวุฒิกุลรังษี
แพทย์เวชศาสตร์ครอบครัว กลุ่มงานเวชกรรมสังคม โรงพยาบาลตรัง
ความส าคัญของปัญหาวิจัย
จากนโยบาย ลดความแออัด ผู้ป่วยมารับบริการที่คลินิกหมอครอบครัวมากขึ้น ผู้ป่วยบางส่วนจะมีอาการฉุกเฉินที่ต้องได้รับการดูแลอย่างเร่งด่วน
“แพทย์เวชศาสตร์ครอบครัวมีส่วนส าคัญในการบริการด่านหน้าและการประสานส่งต่อ” เมื่อน ามาประยุกต์ใช้ในการดูแลผู้ป่วยฉุกเฉินอย่างเหมาะสมจะส่งผลดีต่อ
การรักษาในทุกระดับและทุกมิติ ภายหลังส่งต่อผู้ป่วยจะได้รับการรักษาแบบผู้ป่วยในหรือไม่ บ่งบอกถึงความจ าเป็นในการส่งต่อผู้ป่วยและระบบปฐมภูมิด่านหน้าที่ดี
ผู้วิจัยสนใจถึง ผลลัพธ์ ของการส่งต่อ ผู้ป่วยฉุกเฉินจากคลินิกหมอครอบครัวไปยังโรงพยาบาลตรัง เพื่อประโยชน์ในการพัฒนาระบบการดูแลผู้ป่วยฉุกเฉินใน
หน่วยบริการปฐมภูมิและระบบการส่งต่อผู้ป่วยฉุกเฉินต่อไป
วัตถุประสงค์ วิธีการศึกษา
การศึกษาแบบ Retrospective analytic study วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติ Chi square
เพื่อศึกษาปัจจัยที่สัมพันธ์กับการได้รับการรักษาแบบผู้ป่วยใน ส าหรับ
ผู้ป่วยฉุกเฉินที่ส่งต่อจากคลินิกหมอครอบครัว (Primary care cluster: โดยเก็บข้อมูลผู้ป่วยฉุกเฉินที่ได้รับการส่งต่อจาก PCC test , Fisher exact test และ
ไปยัง ED โรงพยาบาลตรัง ระหว่างวันที่ 1 กุมภาพันธ์
multivariable regression analysis
PCC) ไปยังโรงพยาบาลตรัง (Emergency department: ED)
ถึง 30 กันยายน 2566 จ านวน 140 ราย ระดับนัยส าคัญที่ p-value < 0.05
ผลการศึกษา
กลุ่มตัวอย่าง แบ่งตามระดับ Emergency severity index คิดเป็น วิเคราะห์ข้อมูลโดยแบ่งกลุ่มตามการได้รับการรักษาแบบผู้ป่วยใน และ
140 ราย ระดับ Critical 8.57 % ระดับ Emergency 77.14 % ไม่ได้รับการรักษาแบบผู้ป่วยใน พบว่า
ได้รับการรักษาแบบ เพศหญิง อายุมากกว่า 60 ปี สิทธิประกันสุขภาพ ประวัติ OPD ภายใน 7 วัน การท าหัตถการที่ PCC ระยะเวลารักษาที่ ED
ผู้ป่วยใน 106 ราย 55.7 % 34 % ถ้วนหน้า 54.7 % น้อยกว่า 2 ชั่วโมง การท าหัตถการที่ ED และการตรวจทางรังสีที่ ED มี
ความสัมพันธ์กับการได้รับการรักษาแบบผู้ป่วยในอย่างมีนัยส าคัญทางสถิติ และ
ร้อยละของอาการน าในผู้ป่วยที่ได้รับการรักษาแบบผู้ป่วยใน น ามาวิเคราะห์ต่อด้วยวิธี multivariable regression analysis ผลดังตาราง
ตารางแสดงปัจจัยที่สัมพันธ์กับการได้รับการรักษาแบบผู้ป่วยใน
Fever with hypotension Dyspnea 16 % เมื่อน ามาวิเคราะห์ด้วยวิธี multivariable regression analysis
43.4 %
95% confidence
Abdominal pain 9.4 % Chest pain 6.6 % Odd interval P
ปัจจัย
ratio Lower Upper value
bound bound
สรุปผลและอภิปราย ประวัติ OPD ภายใน 7 วัน 12.01 1.36 105.98 0.025
มากกว่า 7 วัน Ref.
ปัจจัยที่สัมพันธ์กับการได้รับการรักษาแบบผู้ป่วยใน คือ ประวัติ OPD ภายใน 7 วัน การท าหัตถการที่ ไม่มีการท าหัตถการ 1.32 0.16 10.71 0.797
ระยะเวลารักษาที่ ED น้อยกว่า 2 ชั่วโมง และการไม่ตรวจทางรังสีที่ ED PCC ท าหัตถการ 1 ชนิด 0.85 0.11 6.79 0.877
Ref.
ท าหัตถการ มากกว่า 1 ชนิดขึ้นไป
การไม่ท าหัตถการที่ ED เป็นปัจจัยป้องกัน ระยะเวลารักษาที่ ED น้อยกว่า 2 ชั่วโมง 12.96 4.31 38.97 0.000
มากกว่า 2 ชั่วโมง Ref.
การสืบค้นประวัติการรักษาจากโรงพยาบาลศูนย์ได้นั้นมีความส าคัญ การท าหัตถการที่ ED ไม่มีการท าหัตถการ 0.17 0.03 0.86 0.033
การท าหัตถการและส่งตรวจทางรังสีตามความสามารถของหน่วยบริการปฐมภูมิก่อน ท าหัตถการ 1 ชนิด 1.01 0.36 2.84 0.979
ส่งต่อสามารถลลดระยะเวลารอคอยที่ห้องฉุกเฉินโรงพยาบาลศูนย์ ท าหัตถการ มากกว่า 1 ชนิดขึ้นไป Ref.
ในระยะยาวส่งผลให้ผู้ป่วยที่อาการเจ็บป่วยไม่รุนแรง ลดการเข้ารับบริการด้วยตนเองที่ การตรวจทางรังสีที่ ไม่มี 3.03 1.09 8.40 0.033
โรงพยาบาลศูนย์ได้ โดยสามารถมารักษาที่คลินิกหมอครอบครัว ซึ่งแสดงถึงการเป็นหน่วย ED มี Ref.
บริการปฐมภูมิแบบด่านหน้าที่ดี *หัตถการ ได้แก่ การให้สารน้ าทางหลอดเลือด การบริหารยาฉีด การให้ออกซิเจน การพ่นยาแบบละอองฝอย การตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ
การเฝ้าระวังโรคติดเชื้อเขตร้อน เร่งรักษาตั้งแต่หน่วยบริการปฐมภูมิ เพื่อป้องกัน ข้อเสนอแนะ
ภาวะแทรกซ้อน สามารถลดความรุนแรงของโรคและลดอัตราการเสียชีวิต
ระบบปรึกษาแพทย์เวชศาสตร์ฉุกเฉินจากคลินิกหมอครอบครัว เช่น telemedicine
ระบบส่งต่อข้อมูลการรักษาที่ดี การพัฒนาศักยภาพบุคลากรหน่วยบริการปฐมภูมิในการดูแล
ข้อจ ากัด : กลุ่มตัวอย่างไม่มาก ระยะเวลาศึกษาจ ากัด และไม่ได้เก็บข้อมูลปัจจัยอื่นๆ รักษาผู้ป่วยฉุกเฉิน การศึกษาเพิ่มเติมเกี่ยวกับทัศนคติของแพทย์และพยาบาล เพื่อพัฒนา
ที่อาจจะมีผลต่อการได้รับการรักษาแบบผู้ป่วยใน ระบบการดูแลผู้ป่วยฉุกเฉินในหน่วยบริการปฐมภูมิและระบบส่งต่อระหว่างหน่วยบริการ