Page 256 - Best practice_Oral2024 (อัพเดต)
P. 256
F42
การพัฒนารูปแบบการดูแลผู้ป่วยเด็กที่มีภาวะช็อกจากการติดเชื้อในกระแสเลือด
(The Development of Care Model in Children with Severe Sepsis and Septic Shock)
นางนลินี พวงมาลา, สุลัดดา กิตติธิรางกูร, แพทย์หญิงอัจจิมาวดี พงศ์ดารา
โรงพยาบาลมหาราชนครศรีธรรมราช จังหวัดนครศรีธรรมราช เขตสุขภาพที่ 11
ประเภท วิชาการ
ความสำคัญของปัญหาการวิจัย
ภาวะช็อกจากการติดเชื้อในกระแสเลือด (septic shock) เป็นปัญหาสำคัญที่พบได้ทั้งในเด็กและผู้ใหญ่
โดยเฉพาะในผู้ป่วยเด็กถือเป็นภาวะฉุกเฉินและคุกคามต่อชีวิต จากการศึกษาเกี่ยวกับอุบัติการณ์ ความชุก
และอัตราการเสียชีวิตของผู้ป่วยเด็กที่มีการติดเชื้อในกระแสเลือดทั่วโลก พบผู้ป่วยเด็กที่มีภาวะช็อกจากการติดเชื้อ
ร้อยละ 1.4 – 8.2 (Alexander, 2022) และมีอัตราการเสียชีวิตร้อยละ 8.9 – 50.8 (Kawasaki, 2017)
ปัจจัยที่ส่งผลให้ผู้ป่วยเด็กเกิดภาวะแทรกซ้อนและเสียชีวิต ได้แก่ การประเมินและการคัดกรองผิดพลาด
การวินิจฉัยผิดพลาดหรือล่าช้าเนื่องจากอาการสำคัญที่มาโรงพยาบาลไม่ชัดเจน (Kisson, 2016) การได้รับ
การรักษานอกหอผู้ป่วยวิกฤต โรคประจำตัวหรือกลุ่มเสี่ยง เช่น โรคมะเร็ง การมีภูมิคุ้มกันบกพร่อง ได้รับยากดภูมิ
เป็นต้น ดังนั้น หากมีการประเมินอาการแรกรับและค้นหาสาเหตุได้ถูกต้อง ก็จะทำให้ผู้ป่วยได้รับการรักษา
ที่รวดเร็ว ลดภาวะแทรกซ้อน (Hunsada, 2020) ช่วยลดจำนวนวันนอนในโรงพยาบาลและเพิ่มอัตราการรอดชีวิต
(Hartman, 2013)
จากข้อมูลของกลุ่มงานกุมารเวชกรรม โรงพยาบาลมหาราชนครศรีธรรมราช พบว่าภาวะช็อกจากการติดเชื้อ
ในกระแสเลือด เป็นสาเหตุที่ทำให้ผู้ป่วยเด็กเสียชีวิตสูงเป็นอันดับ 1 ใน 5 ของทุกปี โดยในปี พ.ศ 2563-2565
มีอัตราเสียชีวิตร้อยละ 19.23 18.75 และ 19.14 ตามลำดับ จากการทบทวนกระบวนการดูแลผู้ป่วยพบประเด็น
ปัญหาสำคัญ คือ 1) ขาดการคัดกรองกลุ่มเสี่ยงและการจัดการที่เหมาะสม การประเมินไม่ครบถ้วน ผิดพลาด
การรักษาขณะช็อกล่าช้า และ 2) ไม่มีข้อกำหนดการปฏิบัติการพยาบาลที่เป็นมาตรฐานเดียวกัน มีพยาบาลจบใหม่
ประสบการณ์น้อย และขาดการทบทวนและวางแผนร่วมกันระหว่างทีมสหวิชาชีพจึง นำไปสู่การพัฒนารูปแบบ
การดูแลผู้ป่วยเด็กที่มีภาวะช็อกจากการติดเชื้อในกระแสเลือด ตามแนวคิดการพัฒนาคุณภาพของวงจรเดมมิ่ง
(Deming, 1993) และการมีส่วนร่วมของทีมสหสาขาวิชาชีพ โดยสามารถนำไปปฏิบัติได้จริง เกิดผลลัพธ์ทาง
การพยาบาลที่มีคุณภาพ ส่งผลให้มีคุณภาพชีวิตที่ดี ลดผลกระทบต่อครอบครัว สถานพยาบาล ระบบสาธารณสุข
และสังคม และเพื่อให้เข้ากับบริบทของหน่วยงาน โดยคาดหวังให้ผู้รับบริการได้รับการดูแลตามมาตรฐาน
คุณภาพการบริการพยาบาลดีขึ้น และสามารถวัดผลลัพธ์ได้เป็นหลักฐานเชิงประจักษ์ เช่น ภาวะแทรกซ้อน
ระยะวันนอนในโรงพยาบาล และอัตราการเสียชีวิตลดลง เป็นต้น (สถาบันรับรองคุณภาพสถานพยาบาล
องค์การมหาชน, 2564; Gale, 2020)
วัตถุประสงค์การศึกษา
1. เพื่อวิเคราะห์สถานการณ์ปัญหาของรูปแบบการดูแลผู้ป่วยเด็กที่มีภาวะช็อกจากการติดเชื้อ
ในกระแสเลือด
2. เพื่อพัฒนารูปแบบการดูแลฯ
3. เพื่อศึกษาผลลัพธ์ของการพัฒนารูปแบบการดูแลฯ ของแผนกกุมารเวชกรรม โรงพยาบาลมหาราช
นครศรีธรรมราช