Page 258 - Best practice_Oral2024 (อัพเดต)
P. 258

F44

                  อภิปรายผล: การศึกษานี้พบว่า ภายหลังนำรูปแบบการดูแลฯ โดยการใช้เครื่องมือ Trigger tool และ 1 hour
                  Bundle ที่ประยุกต์ขึ้นให้เข้ากับบริบท และการนำระบบช่องทางด่วน (fast track) มาใช้ ทำให้ผู้ป่วยได้รับ
                  คัดกรอง รายงานแพทย์ได้รวดเร็ว สามารถให้การดูแลรักษาที่รวดเร็วเหมาะสม ส่งผลให้อัตราการเสียชีวิตลดลง
                  แต่พบว่ากลุ่มผู้ป่วยเด็กในระยะหลังการพัฒนารูปแบบการดูแลฯ มีระยะจำนวนวันนอนโรงพยาบาลที่นานขึ้น

                  เนื่องจากอายุน้อยกว่า 6 เดือน และมีโรคประจำตัวร่วมด้วย ส่วนใหญ่เป็นทารกคลอดก่อนกำหนดและ
                  มีน้ำหนักตัวน้อย มีภาวะแทรกซ้อนจาก Cardiovascular dysfunction และ ARDS เกิดภาวะอวัยวะล้มเหลว
                  หลายระบบ (muti-organ dysfunction) ก่อนมาถึงโรงพยาบาล สอดคล้องกับการศึกษาของคริสเทลและคณะ

                  (Kristel & Hilarius, 2020; Bloos et al., 2014) จำเป็นต้องได้รับการรักษาที่เฉพาะเจาะจงจากแพทย์หลายสาขา
                  สอดคล้องกับการศึกษาของเวซ และคณะ (Weiss et al., 2020 ) ส่งผลให้ประสิทธิภาพการรักษาลดลง
                  และผลลัพธ์ด้านปฏิบัติการพยาบาล พบว่า พยาบาลวิชาชีพในแผนกกุมารเวชกรรม มีความรู้และมีทักษะ
                   อีกทั้งพยาบาลวิชาชีพส่วนใหญ่มีความพึงพอใจอยู่ในระดับมาก ซึ่งปัจจัยแห่งความสำเร็จในการพัฒนารูปแบบ
                  การดูแลฯ ในครั้งนี้ ได้แก่ การวิเคราะห์ปัญหาการดูแลผู้ป่วยในสถานการณ์จริงที่เกิดจากความร่วมมือ

                  ของทีมสหวิชาชีพ มีการนำข้อมูลที่สะท้อนผลลัพธ์ของการดูแลผู้ป่วยมาพัฒนางานเพื่อให้บริการพยาบาล
                  มีคุณภาพตามมาตรฐาน ส่งผลลัพธ์ให้ผู้ป่วยปลอดภัย (patient safety) ดังนั้นการพัฒนารูปแบบการดูแลฯ
                  สามารถนำไปใช้ได้จริงและมีความเหมาะสมในการดูแลรักษาพยาบาลผู้ป่วยเด็กที่มีภาวะช็อกจากการติดเชื้อ

                  ในกระแสเลือด และก่อให้เกิดความปลอดภัยแก่ผู้ป่วยเพิ่มมากขึ้น และเพิ่มศักยภาพของพยาบาลในการดูแล
                  ผู้ป่วยกลุ่มนี้ได้

                  สรุปและข้อเสนอแนะ: จากผลการศึกษาของผู้วิจัย ควรมีการทบทวนองค์ความรู้และพัฒนาสมรรถนะของแพทย์
                  พยาบาลวิชาชีพ และทบทวนระบบการดูแลผู้ป่วยเด็กที่มีภาวะช็อกจากการติดเชื้อในกระแสเลือด ในภาพรวม
                  ของจังหวัดอย่างน้อยปีละครั้ง เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการดูแลผู้ป่วยเด็กที่ติดเชื้อในกระแสเลือด มีการแลกเปลี่ยน

                  ประสบการณ์ในทีมสหสาขา ควรมีการนิเทศ กำกับ และติดตามการใช้รูปแบบการดูแลเป็นระยะ ทั้งนี้การพัฒนา
                  ระบบการดูแลจะต้องสอดคล้องกับบริบทของหน่วยงานและใช้งานได้ง่าย เพื่อให้เกิดการพัฒนาคุณภาพ
                  อย่างต่อเนื่องและยกระดับคุณภาพมาตรฐานในการพยาบาลให้ดียิ่งขึ้น
   253   254   255   256   257   258   259   260   261   262   263