Page 257 - Best practice_Oral2024 (อัพเดต)
P. 257
F43
วิธีการศึกษา: เป็นการวิจัยและพัฒนา (Research & Development; R & D) โดยใช้กระบวนการวิจัยและพัฒนา
รูปแบบการดูแลฯ ตามกระบวนการวิจัยโดยใช้หลักฐานเชิงประจักษ์ รูปแบบการพัฒนา R2D2 (Borg & Gall, 1971)
แบ่งออกเป็นระยะ 4 คือ ระยะที่ 1 วิเคราะห์สถานการณ์ปัญหาของรูปแบบการดูแลผู้ป่วยเด็กมีภาวะช็อก
จากการติดเชื้อในกระแสเลือด อายุ 1 เดือน – 15 ปี ที่เข้ารับการรักษาในแผนกกุมารเวชกรรม โรงพยาบาล
มหาราชนครศรีธรรมราช ทบทวนสาเหตุสำคัญ ปัญหาและอุปสรรคจากการใช้แนวปฏิบัติเดิม จากเวชระเบียน
3 ปีย้อนหลัง ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2563 - 2565 จำนวนทั้งสิ้น 35 ราย ระยะที่ 2 พัฒนารูปแบบการดูแลฯ โดยการประชุม
ทีมสหสาขาวิชาชีพ ประกอบด้วยกุมารแพทย์ กุมารแพทย์ระบบการหายใจ และพยาบาลวิชาชีพประจำหอ
ผู้ป่วยแผนกกุมารเวชกรรม โรงพยาบาลมหาราชนครศรีธรรมราช เพื่อพัฒนารูปแบบการดูแลฯ ดังต่อไปนี้
1) 2T Tiger and Trigger tool เป็นขั้นตอนการพัฒนาเกณฑ์และเครื่องมือที่ใช้ในการประเมินภาวะติดเชื้อ
ในกระแสเลือด และพัฒนากระบวนการกำกับติดตามให้มีประสิทธิภาพโดยใช้ Trigger tool
2) 2C CPG and Competency เป็นขั้นการพัฒนาแนวทางปฏิบัติการพยาบาลผู้ป่วยเด็กที่มีภาวะช็อก
จากการติดเชื้อในกระแสเลือดและการนำไปใช้ โดยทีมสหสาขาวิชาชีพ และประชุมชี้แจงเพื่อทำความเข้าใจ
แนวทางปฏิบัติการพยาบาล ให้มีสมรรถนะในการประเมินและดูแลผู้ป่วยโดยการสอนตามบริบท สามารถ
ประเมินความเข้าใจได้ทันที 3) 2L Lean and Learning ทดลองใช้รูปแบบการดูแลฯที่พัฒนาขึ้น โดยการทบทวน
และปรับแผนผัง (flow) การดูแลผู้ป่วยใหม่ และประเมินผลลัพธ์ในด้านต่าง ๆ 4) 2E Expand and Evaluation
การเผยแพร่ขยายผลการวิจัย และการประเมินผล
วิธีการวิเคราะห์ข้อมูล/สถิติที่ใช้ :
1. ข้อมูลทั่วไปของบุคลากรและผู้ป่วย การปฏิบัติตามแนวทางที่กำหนด ความพึงพอใจของ
พยาบาลวิชาชีพต่อรูปแบบการพยาบาล วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนา เช่น ร้อยละ ความถี่
และสถิติการทดสอบ paired t-test และ McNemars Test
,
2. ข้อมูลการทดสอบความรู้ของพยาบาลวิชาชีพเป็นความรู้ทางวิชาการเรื่องผู้ป่วยเด็กที่มีภาวะช็อก
จากการติดเชื้อในกระแสเลือด วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนา เช่น ร้อยละ ความถี่ และสถิติ
การทดสอบ paired- t test
ผลการศึกษา: ภายหลังการใช้รูปแบบการดูแลฯ ผลลัพธ์ตัวชี้วัดทางคลินิก 1) ด้านผู้ป่วย พบว่า อัตราการ
คัดกรองเข้าช่องทางด่วน อัตราการได้รับสารน้ำทดแทนภายใน 1 ชั่วโมง มีค่าเฉลี่ยหลังการใช้มากกว่า
ก่อนการใช้ที่ 0.171 และ 0. 114 ซึ่งมีความแตกต่างกันอย่างมีนัยทางสถิติ (p<0.05) และพบว่าอัตรา
การเสียชีวิตหลังพัฒนารูปแบบการดูแลฯ มีค่าเฉลี่ยลดลงอย่างมีนัยทางสถิติที่ (p<0.05) 2) ผลลัพธ์
ด้านปฏิบัติการพยาบาล พบว่าคะแนนความรู้หลังได้รับการอบรมการดูแลผู้ป่วยเด็กที่มีภาวะช็อกจากการติดเชื้อ
ในกระแสเลือด มีค่าเฉลี่ยของระดับคะแนนหลังอบรมเพิ่มขึ้นกว่าก่อนอบรมแตกต่างกัน 4.657 อย่างมีนัยสำคัญ
ทางสถิติที่ (p<0.05) ด้านคุณภาพการปฏิบัติพยาบาลตามแนวทางการดูแลในด้านต่าง ๆ ได้แก่ การประเมิน
ความรุนแรงของผู้ป่วยแรกรับ การบันทึกทางการพยาบาล โดยใช้ PEWS &Trigger tool การประเมินระดับ
ความฉุกเฉินของผู้ป่วยถูกต้อง การตรวจค่าแลคเตทในซีรั่มตามแผนการรักษา การดูแลทางเดินหายใจโดยการติดตาม
และเฝ้าระวัง SpO 2 ให้ > 95% การประเมินcapillary refill ทุก 15 นาที จนอาการคงที่เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ
ทางสถิติ และจากการวิเคราะห์ความแตกต่างโดยใช้สถิติ paired- t test พบว่า ในภาพรวมหลังการใช้รูปแบบ
การดูแลฯที่พัฒนาขึ้นคุณภาพการปฏิบัติพยาบาลเพิ่มขึ้นมากกว่าก่อนการพัฒนาอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ
(p< 0.05) และ พยาบาลวิชาชีพมีความรู้และทักษะเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p< 0.05) และมีความพึงพอใจ
ในระดับมาก