Page 184 - Best Practice Poster 2024 (อัพเดต)
P. 184
D17
อภิปรายผล
เมื่อเปรียบเทียบผลการศึกษาครั้งนี้กับสถาบันต่าง ๆ และงานวิจัยของประเทศไทยที่มีบริบทใกล้เคียง
กัน พบว่าปริมาณรังสีที่ผิวผู้ป่วยได้รับจากการถ่ายภาพรังสีทรวงอก ท่า AP Supine กลุ่มงานรังสีวิทยา
โรงพยาบาลอ่างทอง มีค่าปริมาณรังสีที่เปอร์เซ็นต์ไทล์ที่ 75 อยู่ในระดับไม่เกินค่ากำหนดของ IAEA และอยู่ใน
ระดับเดียวกับงานวิจัยของปรีชา ฟักทอง และมีค่าปริมาณรังสีที่ผิวผู้ป่วยต่ำกว่างานวิจัยของสุกัญญา เศรษฐ
มาก สุภาพร ทั้งสุข และคณะ และงานวิจัยนี้มีค่าปริมาณรังสีต่ำกว่าค่าปริมาณรังสีอ้างอิงในการถ่ายภาพรังสี
วินิจฉัยทางการแพทย์ของประเทศไทย 2566 ซึ่งมีค่าเท่ากับ 0.04 มิลลิเกรย์ ดังนั้นงานวิจัยนี้แสดงให้เห็นถึงการ
ให้ปริมาณรังสีที่เหมาะสมของนักรังสีการแพทย์ของโรงพยาบาลอ่างทอง อยู่ในเกณฑ์ที่เหมาะสม ไม่ทำให้
ทารกแรกคลอดได้รับปริมาณรังสีที่ผิวเกินค่ามาตรฐาน และจากข้อมูลงานวิจัยสามารถนำค่าที่ได้มาปรับและ
กำหนด Exposure chart เพื่อตั้งค่าสำหรับการถ่ายภาพรังสีทรวงอกทารกแรกคลอดที่มีน้ำหนักอยู่ในช่วงแตกต่าง
กันไป เพื่อป้องกันการได้รับรังสีเกินความจำเป็น โดยปริมาณรังสีที่เหมาะสม ผู้วิจัยแนะนำให้ใช้ mAs, kVp ดังนี้
น้ำหนักทารก (กิโลกรัม) kVp mAs
น้อยกว่าหรือเท่ากับ 1.00 46 1.2-1.4
มากว่า 1.00 - 2.00 46 1.6-1.8
มากกว่า 2.00 - 3.00 48 1.6-1.8
มากกว่า 3.00 - 4.00 48-50 1.6-1.8
มากกว่า 4.00 50 1.8-2.0
สรุปและข้อเสนอแนะ
ปริมาณรังสีที่ผิวทารกแรกคลอด (ESAK) ได้รับมีค่าเฉลี่ยที่ 0.03 มิลลิเกรย์ เมื่อเปรียบเทียบกับค่า
ปริมาณรังสีอ้างอิงในการถ่ายภาพรังสีวินิจฉัยทางการแพทย์ของประเทศไทย 2566 อยู่ในระดับไม่เกินเกณฑ์
มาตรฐาน ข้อเสนอแนะจากงานวิจัยครั้งนี้ คือ
1. ควรศึกษาค่าปริมาณรังสีอ้างอิงในอวัยวะอื่น ๆ ต่อยอดและเก็บข้อมูลจากเครื่องเอกซเรย์ทุกเครื่องที่ใช้
งาน
2. จัดทำ Exposure chart ในเครื่องเอกซเรย์ทุกเครื่อง
3. แนะนำให้ทบทวนค่าปริมาณรังสีวินิจฉัยอ้างอิงทุก 3 – 5 ปี
4. กระตุ้น ส่งเสริมให้นักรังสีการแพทย์ผู้ปฏิบัติงานให้ความสำคัญในการปรับตั้งปริมาณรังสี Exposure
technique เพื่อให้ตนเอง ผู้ป่วยและบุคคลทั่วไป ปลอดภัยจากรังสี และเพื่อให้ได้ภาพรังสีที่มีคุณภาพดีให้แพทย์
วินิจฉัยได้อย่างถูกต้อง แม่นยำ โดยใช้ปริมาณรังสีน้อยที่สุด