Page 310 - Best Practice Poster 2024 (อัพเดต)
P. 310
G22
ผลการศึกษา
จากการทำการศึกษาการจัดการปัญหาการใช้ยาในผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองที่ได้รับการเยี่ยมบ้าน
พบว่าสามารถติดตามผู้ป่วยได้ทั้งสิ้น 54 ราย ผู้ป่วยส่วนใหญ่เป็นเพศชาย มีอายุเฉลี่ย 65.17 ปี ส่วนใหญ่มีสิทธิ
การรักษาเป็นบัตรประกันสุขภาพถ้วนหน้า ผู้ป่วยจะอาศัยญาติในการดูแลการใช้ยาเท่ากับการอาศัยตนเอง
และพบว่าโรคประจำตัวที่พบ ได้แก่ โรคหลอดเลือดสมอง โรคความดันโลหิตสูง โรคเบาหวาน โรคไขมัน
ในเลือดสูง โรคไตเรื้อรัง โรคเกาต์ โรคหอบหืด โรคไทรอยด์ โรคหัวใจเต้นผิดจังหวะ และโรคอื่นๆ เช่น หัวใจ
วาย ลมชัก ต่อมลูกหมากโต เป็นต้น ตามลำดับ รายการที่ผู้ป่วยใช้เฉลี่ย 6.78 ± 3.11 รายการ จำนวนยาน้อย
ที่สุด 2 รายการ และมากที่สุด 17 รายการ โดยรายการยาที่มีผู้ป่วยใช้มากที่สุด 10 อันดับแรก ได้แก่
Simvastatin 20 mg, Omeprazole 20 mg, ASA 300 mg, ASA 81 mg, Amlodipine 5mg, Folic 5 mg,
CaCO3 1,250 mg, Metformin 500 mg, Glipizide 5 mg และ Paracetamol 500 mg ตามลำดับ
ปัญหาการใช้ยาพบทั้งหมด 78 ปัญหา ในผู้ป่วย 26 ราย เมื่อสิ้นสุดการเยี่ยมบ้านพบว่าสามารถแก้ไข
ปัญหาจากการใช้ยาได้เหลือ 15 ปัญหา โดยคิดเป็นจำนวนปัญหาจากการใช้จากเฉลี่ยต่อคน 1.53±0.21
และเมื่อแก้ปัญหาจากการใช้ยาแล้วปัญหาจากการใช้ยาเฉลี่ยต่อคนเหลือ 0.52±0.07 ซึ่งลดลงอย่างมีนัยสำคัญ
ทางสถิติ (p-value < 0.001) ทั้งนี้ปัญหาการใช้ยาที่พบมากที่สุดคือผู้ป่วยขาดความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับยา
ที่ใช้รักษา รองลงมาคือผู้ป่วยได้รับยาที่ถูกต้องแต่ขนาด/ระยะเวลา/รูปแบบ/วิธีบริหารยาไม่เหมาะสม ผู้ป่วย
ไม่ให้ความร่วมมือในการใช้ยาตามแพทย์สั่ง ผู้ป่วยไม่ได้รับผลอย่างเต็มที่จากยาที่แพทย์สั่งจ่าย ผู้ป่วยเกิดหรือมี
โอกาสเกิด อาการไม่พึงประสงค์จากการใช้ยา ผู้ป่วยได้รับยาซ้ำซ้อน ผู้ป่วยได้รับยาที่มีอันตรกิริยาต่อกัน
หรือต่ออาหารหรือต่อโรค หรือต่อผลตรวจทางห้องปฏิบัติการอย่างมีนัยสำคัญทางคลินิก และผู้ป่วยได้รับยา
ที่ไม่มีข้อบ่งใช้ ผู้ป่วยมีภาวะหรือโรคแต่ไม่ได้รับยาในการรักษา/บรรเทาอาการ ผู้ป่วยได้รับยาที่ไม่เหมาะสม
ผู้ป่วยมีปัญหาทางการเงินอันเนื่องมาจากการรักษาด้วยยาตามลำดับ
อภิปรายผล
ผลการศึกษานี้พบว่าผู้ป่วยส่วนใหญ่เป็นโรคหลอดเลือดสมอง มีโรคร่วมอย่างน้อย 1 โรค ผู้ป่วย
ส่วนใหญ่ได้ยาหลายรายการ (6.78 ± 3.11 รายการ) ผู้ป่วยและญาติมีส่วนในการดูแลการใช้ยาเหมือนกัน
ปัจจัยดังกล่าวมีความเสี่ยงทำให้เกิดปัญหาการใช้ยาได้มาก ซึ่งจากการศึกษาของอรนุช สารสอน และคณะ
พบว่าปัญหาการใช้ยาในผู้สูงอายุ มีปัจจัยที่เกี่ยวข้อง คือ ได้รับยามากกว่าหรือเท่ากับ 5 รายการขึ้นไป
การเยี่ยมบ้านโดยทีมสหวิชาชีพทำให้พบปัญหาการใช้ยา โดยพบว่าผู้ดูแลการใช้ยาส่วนใหญ่มักขาด
ความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับยาที่ใช้รักษา ผู้ป่วยได้รับยาที่ถูกต้องแต่ขนาด/ระยะเวลา/รูปแบบ/วิธีบริหารยา
ไม่เหมาะสม และผู้ป่วยไม่ให้ความร่วมมือในการใช้ยาตามแพทย์สั่ง เมื่อติดตามผลหลังจากให้คำปรึกษาแนะนำ
ด้านยาพบว่า มีจำนวนปัญหาจากการใช้ยาลดลงจาก 78 ปัญหาเหลือ 15 ปัญหา ปัญหาเฉลี่ยต่อคนลดลง
อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติจาก 1.53±0.21 เหลือ0.52±0.07 (p=0.001) ซึ่งใกล้เคียงกับการศึกษาของสมมนัส
มนัสไพบูลย์ และคณะ และสอดคล้องกับการศึกษาของวิกานกา เวชอุบลและคณะ พบว่ามีการลดลงของปัญหา
จากการใช้ยาหลังจากผู้ป่วยได้รับคำปรึกษาด้านยา ปัญหาจากการใช้ยาที่พบมากที่สุด 3 อันดับได้แก่ 1. ผู้ป่วย
ขาดความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับยาที่ใช้รักษา เนื่องจากผู้ป่วยและผู้ดูแลมีความเชื่อตามคำบอกเล่าของเพื่อนบ้าน
หรือคนรู้จักว่าหากใช้ยาหรือสมุนไพรตามคำบอกเล่าจะทำให้อาการดีขึ้น ผู้ป่วยและผู้ดูแลหยุดใช้ยาตามที่
แพทย์สั่งเนื่องจากว่ามีความกังวลว่าจะใช้ยามากเกินความจำเป็นหรือเป็นอันตรายต่อตับและไต 2. ผู้ป่วยได้รับ
ยาถูกต้องแต่วิธีการบริหารยาไม่เหมาะสม ซึ่งพบว่าผู้ป่วยได้รับการบริหารยาไม่เพียงพอต่อการควบคุมโรค
หรือได้รับยาในรูปแบบที่ไม่เหมาะสม เช่น ได้รับยากันชัก Phenytoin แคปซูลรูปแบบที่ให้ทางสายอาหารไม่ได้
ซึ่งทีมสหวิชาชีพได้ปรึกษาหาแนวทางเพื่อทำการแก้ไขทันที 3. ผู้ป่วยและผู้ดูแลไม่ให้ความร่วมมือในการใช้ยา
ตามที่แพทย์สั่ง ผู้ป่วยบางรายไม่ต้องการกินยาต่อเนื่องและกังวลว่ายาที่รับประทานจะมีผลเสียต่อตับหรือไต