Page 116 - Best practice_Oral2024 (อัพเดต)
P. 116
C8
4. หน่วยงานราชการและบุคลากร ควรได้รับการส่งเสริมความรู้ และได้ปฏิบัติการจริง ให้ความร่วมมือกับ
ชุมชนและวัดในพื้นที่ ได้รับการอบรมเรื่องการช่วยเหลือผู้ประสบเหตุฉุกเฉินอย่างถูกต้อง โดยใช้งบประมาณตนเอง
ผลลัพธ์หลังการดำเนินการตามข้อเสนอ พบว่า การดำเนินการ 3 เดือนในไตรมาสที่ 2 ของ
ปีงบประมาณ 2567 สามารถจัดอบรมการปฐมพยาบาลและการช่วยฟื้นคืนชีพเบื้องต้น ใหแก่ประชาชนตัวแทน
ครัวเรือน บุคลากรสังกัดส่วนราชการ ได้ถึง 5 ครั้ง จำนวน 540 คน และสามารถเพิ่มคุณภาพการบริการผู้ป่วย
วิกฤติและผู้ป่วยฉุกเฉิน ให้ได้รับการนำส่งมาโรงพยาบาลปราสาท ด้วยระบบบริการการแพทย์ฉุกเฉินเพิ่มจาก
เดิมเป็นร้อยละ 39.69 และหน่วยบริการการแพทย์ฉุกเฉินโรงพยาบาลปราสาท ผ่านการประเมินมาตรฐาน
การบริการระดับเฉพาะทาง 1 ใน 12 โรงพยาบาลแรกในประเทศไทย
อภิปรายผล
จากที่กลุ่มตัวอย่าง 204 คน ที่ไม่ทราบว่าเมื่อเรียกใช้ระบบบริการการแพทย์ฉุกเฉิน รถจากหน่วยงาน
ใดจะไปรับ เป็นประเด็นที่สอดคล้องกับการศึกษาในที่โรงพยาบาลปากน้ำหลังสวน จังหวัดชุมพร (จิตรประไพ
สุระชิต, 2560) พบผลลัพธ์คล้ายคลึงกัน คือ ผู้ป่วยส่วนใหญ่มีการรับรู้ระบบบริการการแพทย์ฉุกเฉินอยู่ระดับ
น้อย ร้อยละ 82.70 และแตกต่างจากการศึกษาที่จังหวัดบึงกาฬ ที่กลุ่มตัวอย่างรับรู้ว่าเมื่อโทรแจ้งบริการ
การแพทย์ฉุกเฉินจะมีศูนย์สั่งการในแต่ละจังหวัดในการติดต่อรับแจ้งเหตุและสั่งการหน่วยกู้ชีพ/โรงพยาบาล
ออกรับผู้ป่วยที่เกิดเหตุ โดยตอบถูกต้อง ถึงร้อยละ 67.49 ส่วนความคาดหวังของกลุ่มตัวอย่างพบว่า
กลุ่มตัวอย่างในการศึกษาในหลายพื้นที่ เช่น ที่จังหวัดบึงกาฬ(กัญญา ธรรมสุนา,2559) ประชาชนต่างมีความ
คาดหวังมากที่สุดในประเด็นคล้ายคลึงกัน คือ การบริการตลอด 24 ชั่วโมง และการดูแลระหว่างส่งต่ออย่าง
ปลอดภัยต่อบริการการแพทย์ฉุกเฉิน เป็นต้น
สรุปและข้อเสนอแนะ
การถอดบทเรียนจากผลการศึกษาวงรอบที่ 1 ช่วยให้ผู้วิจัยได้ข้อมูลสำคัญที่สอดคล้องกับบริบท
การรับรู้และความคาดหวังของผู้รับบริการในพื้นที่ สามารถวางแผนและจัดลำดับความสำคัญของดำเนินการ
พัฒนาระบบบริการการแพทย์ฉุกเฉินตามการรับรู้และความคาดหวัง ของประชาชน โดยการมีส่วนร่วม
ของ บ้าน วัด ส่วนราชการ (บวร) อำเภอปราสาท จังหวัดสุรินทร์ ในวงรอบต่อไปได้