Page 184 - Best practice_Oral2024 (อัพเดต)
P. 184
E24
วัตถุประสงค์การศึกษา
1. เพื่อศึกษาสถานการณ์และสภาพปัญหา
2. เพื่อพัฒนาและประเมินผลการพัฒนาระบบคัดกรองสุขภาพจิตวัยเรียนเชิงรุกโดยทีมสหวิชาชีพ
แบบบูรณาการ
วิธีการศึกษา
การศึกษาครั้งนี้ประยุกต์ใช้ เป็นการศึกษาเชิงปฏิบัติติการแบบมีส่วนร่วมแนวทางพัฒนาปฏิบัติการ
(PAOR) แบ่งเป็น 4 ระยะ คือ 1) วิเคราะห์สถานการณ์และสภาพปัญหา 2) พัฒนารูปแบบระบบคัดกรอง
สุขภาพจิตวัยเรียนเชิงรุก 3) ทดลองใช้รูปแบบการพัฒนาระบบคัดกรองสุขภาพจิตวัยเรียนเชิงรุก และ
4) ประเมินผลการพัฒนาระบบคัดกรองสุขภาพจิตวัยเรียนเชิงรุก กลุ่มเป้าหมายเลือกแบบเฉพาะเจาะจง
ประกอบด้วย เด็กวัยเรียนนักเรียนชั้น ป1 - ป 6 อายุระหว่าง 6-15 ปี ผู้ปกครองหรือผู้ดูแลหลัก ครูผู้ที่ทำ
หน้าที่ช่วยเหลือนักเรียนในโรงเรียนเขตอำเภอสรรพยา กลุ่มตัวอย่าง คือ กลุ่มเสี่ยงด้านพฤติกรรมและอารมณ์
นักเรียนชั้น ป1 - ป 6 ระหว่างเดือนตุลาคม 2566 ถึง15 มีนาคม พ.ศ. 2567 วิเคราะห์ข้อมูลจำนวน ร้อยละ
ค่าเฉลี่ยและการวิเคราะห์เนื้อหา โดยแนวคิด “ ครู หมอ พ่อแม่” มีขั้นตอนดังนี้ 1) คืนข้อมูลจากสถานการณ์
การให้บริการวิเคราะห์ข้อมูลปัญหาและสาเหตุ ความต้องการดูแลและช่วยเหลือระหว่างครูและบุคลากร
ทางการแพทย์และสาธารณสุข 2) ครูและผู้ปกครองประเมินคัดกรองด้วยแบบคัดกรองประเมินพฤติกรรมเด็ก
4 โรคหลักแบบประเมิน PDDSQ แบบประเมิน SNAP IV 3) โรงพยาบาลติดตามประเมินพฤติกรรมและ
อารมณ์เด็กกลุ่มเสี่ยงที่โรงเรียนร่วมกับครู และผู้ปกครอง 4) ประเมินระดับเชาว์ปัญหาหรือ IQ ตามโครงการ
จิตเวชเด็กสัญจร 5) เด็กกลุ่มเสี่ยงได้รับการวินิจฉัยและดูแลช่วยเหลือจากจิตแพทย์และทีมสหวิชาชีพ 6)
ทีมสหวิชาชีพทบทวนกรณีศึกษาและสร้างแรงจูงใจให้เด็กและผู้ปกครองวางแผนแก้ไชปัญหารายบุคคล
ยกตัวอย่าง กรณีศึกษาเด็ก ASD บิดามารดาเสียชีวิต อยู่กับน้าชาย ประกอบอาชีพรับจ้างเด็กขาดโรงเรียนบ่อย
และ 7) ระบบติดตามผ่านโทรศัพท์มือถือและนัดหมายตามนัด ทั้งนี้ระยะของการศึกษาดังกล่าวเพื่อดำเนินการ
วางแผนช่วยเหลือระยะต่อไป โดยได้เพิ่มการเข้าถึงบริการรักษาต่อเนื่อง เครื่องมือที่ใช้ในการวัด compliance
มีการนับเม็ดยา และการแผนการเรียนร่วมชั้นเรียนรายบุคคลของเด็ก มีระบบติดตามร่วมกันกับ รพ.สต ครู
เพื่อเป็นแนวทางดูแลเด็กที่มีความเสี่ยงโรคจิตเวชเด็ก ปรับพฤติกรรม และการรักษาได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ผลการศึกษา พบว่า
1. วิเคราะห์สถานการณ์และสภาพปัญหา พบว่า นักเรียนชั้นประถมศึกษามีความเสี่ยงโรคสมาธิสั้น
(ADHD) ร้อยละ 45.83 โดยมีอาการซนอยู่ไม่นิ่งมากที่สุดคิดเป็นร้อยละ 34.7 และพบว่าปัจจัยที่มี
ความสัมพันธ์กับความเสี่ยงโรคสมาธิสั้นของนักเรียนตามการรับรู้ของผู้ปกครอง ได้แก่ ครูเรียกพบผู้ปกครอง
การเรียนซ้ำซ้ำ การจัดกลุ่มเด็กเรียนพิเศษร่วม และพฤติกรรมการติดสื่อเทคโนโลยี
2. รูปแบบที่พัฒนาขึ้นประกอบด้วย 2.1 ทีมสหวิชาชีพได้จัดให้มีการทบทวนระบบการคัดกรอง
สุขภาพจิตวัยเรียนเชิงรุก โดยทีมสหวิชาชีพแบบบูรณาการอำเภอสรรพยา 2.2 วางระบบการทำงานร่วมกัน
ระหว่างครู ผู้รับผิดชอบงานวัยเรียนของโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล และพยาบาลจิตเวชของโรงพยาบาล
สรรพยา จากโครงการจิตแพทย์เด็กสัญจรของโรงพยาบาลแม่ข่าย ผลการจัดบริการคลินิกจิตเวชเด็กสัญจร
จำนวน 52 คน ทำนายความเสี่ยงโรค ADHD ร้อยละ 35.1 รองลงมาคือ ASD ร้อยละ 16.67 ,LD ร้อยละ 6.25
ID และ ด้านอื่นๆ ร้อยละ 31. 25 พบระดับ IQ= 53-103 ซึ่งพบว่าเด็กเพศชายมีความเสี่ยงต่อการเป็นโรค
สมาธิสั้นมากกว่าเพศหญิง พบปัจจัยที่มีความสัมพันธ์สาเหตุดังกล่าวมาจากเด็กที่ไม่ได้อาศัยอยู่กับผู้ปกครอง
ขาดการอบรมเลี้ยงดูและเอาใส่ใจจากผู้ปกครอง และปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อมพบอิทธิพลของสื่อเทคโนโลยีต่างๆ