Page 189 - Best practice_Oral2024 (อัพเดต)
P. 189
E29
รูปแบบการดูแลผู้ป่วยโรคร่วมจิตเวชสารเสพติดที่เสี่ยงต่อการก่อความรุนแรง
โดยการใช้การจัดการรายกรณีในชุมชน
นางสาวพัฒนี ภูวงศ์
โรงพยาบาลธวัชบุรี จังหวัดร้อยเอ็ด เขตสุขภาพที่ 7
ประเภท วิชาการ
ความสำคัญของปัญหา
ปัจจุบันพบว่าปัญหาพฤติกรรมรุนแรงในสังคมเพิ่มมากขึ้นทั้งในครัวเรือนและในชุมชน จากเหตุการณ์
ความรุนแรงที่เกิดขึ้นในข่าวสารประจำวัน สะท้อนให้เห็นว่า การใช้ความรุนแรงในสังคมส่งผลกระทบต่อชีวิต
ความเป็นอยู่ สภาพสังคมและเศรษฐกิจ ความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินและมีผลกระทบต่อจิตใจของ
ประชาชนในวงกว้าง จากข้อมูลผู้ป่วยโรคร่วมจิตเวชสารเสพติดที่มีความเสี่ยงสูงต่อการก่อความรุนแรง
(SMI-V) บนระบบคลังข้อมูลสุขภาพ กระทรวงสาธารณสุข พบว่ามีการเข้ารับบริการสะสมตั้งแต่ปี 2559 ถึงปี
2565 จำนวน 27,518 คน โดยผู้ป่วยโรคร่วมจิตเวชสารเสพติดที่ก่อความรุนแรงมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น พบจำนวน
1,463 คน ในปี 2563 เพิ่มขึ้นเป็น จำนวน2,783 คนในปี 2564 และ เพิ่มขึ้นจำนวน 3,527 คนในปี 2565
ตามลำดับ (กรมสุขภาพจิต,2566) สำหรับผู้ป่วยจิตเวชการใช้สารเสพติดโดยเฉพาะยาบ้าเป็นปัจจัยกระตุ้น
นำไปสู่การเกิดอาการทางจิตที่รุนแรงขึ้น เช่น หลงผิด หวาดระแวง หูแว่ว ภาพหลอน มีพฤติกรรมก้าวร้าว
รุนแรง ทำร้ายตนเองหรือผู้อื่น หรือทำลายทรัพย์สิน นำไปสู่ภาวะบกพร่องหรือการสูญเสียการปฏิบัติหน้าที่
ต่างๆ เช่น การดูแลตนเอง การประกอบอาชีพ การเข้าสังคม เป็นต้น เป็นภาระโรคและความสูญเสียของ
สังคมไทย (กรมสุขภาพจิต,2566) ส่งผลกระทบให้ครอบครัวเกิดความเครียด วิตกกังวลต่ออันตรายที่จะมีต่อ
ครอบครัวตนเองและชุมชน (เพียงเพ็ญ บุญมาธรรม,2566)
จากข้อมูลผู้มารับบริการในโรงพยาบาลธวัชบุรีพบว่า มีผู้ป่วยโรคร่วมจิตเวชสารเสพติดที่เสี่ยงก่อ
ความรุนแรงมารับการรักษาที่โรงพยาบาลธวัชบุรี ในปี 2563-2565 พบว่ามีแนวโน้มเพิ่มมากขึ้น จากจำนวน
29 คน ในปี 2563 เพิ่มเป็น 56 คนในปี 2564 และเพิ่มเป็น 121 คน ในปี 2565 คน จากการเยี่ยมบ้านในแต่ละ
หมู่บ้านพบปัญหารุนแรงที่เกิดขึ้นในปี พ.ศ. 2563-พ.ศ. 2565 เช่น การทำร้ายร่างกายคนในครอบครัว
คลุ้มคลั่ง อาละวาด ทำลายทรัพย์สินและทำร้ายคนอื่นและที่ร้ายแรง สะเทือนขวัญที่สุดคือการทำร้ายบิดา
ตัวเองและปาดคอญาติจนเสียชีวิต จากการวิเคราะห์สาเหตุแล้วพบว่า ส่วนใหญ่เกิดจากปัญหาผู้ป่วยเสพสาร
เสพติดจนติด มีอาการทางจิต ทานยาไม่ต่อเนื่อง ไม่ยอมรับการเจ็บป่วย ไม่อยากรักษาบอกว่าตัวเองไม่เป็น
อะไร ทานยาไม่สม่ำเสมอ ส่วนในด้านชุมชน เกิดความหวาดกลัวผู้ป่วย ไม่กล้าเข้าใกล้ ไม่อยากยุ่งเกี่ยว
เบื่อหน่ายกับอาการทางจิตซ้ำๆ มีอุบัติการณ์เจ้าหน้าที่ถูกผู้ป่วยทำร้าย เจ้าหน้าที่เกิดความกลัว ไม่กล้าเข้าใกล้
ยังไม่มีระบบการคัดกรองผู้ป่วยในชุมชน บางคนไม่มีประสบการณ์ในการเผชิญเหตุฉุกเฉินจากภาวะจิตเวช
ฉุกเฉินหรือจากภาวะถอนพิษยาหรือขาดยา เมื่อมีเหตุการณ์ก่อเหตุรุนแรงเกิดขึ้นในชุมชน จะเกิดความชุลมุน
วุ่นวาย ทำอะไรไม่ถูก ระบบการดูแลผู้ป่วยจากบ้านสู่โรงพยาบาลยังไม่ชัดเจน มีการส่งต่อผู้ป่วยซ้ำด้วยอาการเดิม
จากการประมวลเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง ผู้วิจัยจึงมีความสนใจการจัดการรายกรณีแบบมีส่วนร่วม
ในชุมชนในการดูแลผู้ป่วยฯ ส่งผลให้ผู้ป่วยมีอาการทางจิตลดลง มีความสามารถโดยรวมเพิ่มมากขึ้น ไม่ก่อเหตุ
รุนแรงขึ้นอีก สามารถดำรงชีพในชุมชนโดยอัตภาพ(พิณณรัฐ ศรีหารักษา,2566)