Page 190 - Best practice_Oral2024 (อัพเดต)
P. 190
E30
วัตถุประสงค์การศึกษา
1. เพื่อศึกษาบริบทและปัญหาผู้ป่วยโรคร่วมจิตเวชสารเสพติดที่เสี่ยงต่อการก่อความรุนแรงในชุมชน
ตำบลธงธานี อำเภอธวัชบุรี จังหวัดร้อยเอ็ด
2. เพื่อศึกษาการดูแลผู้ป่วยและผลลัพธ์การดูแลผู้ป่วยโรคร่วมจิตเวชสารเสพติดที่เสี่ยงต่อการก่อ
ความรุนแรงในชุมชน โดยการใช้การจัดการรายกรณีแบบมีส่วนร่วมในชุมชน
วิธีการศึกษา
เป็นการวิจัยเชิงปฏิบัติการแบบมีส่วนร่วม(Participatory action Research: PAR)ประกอบด้วย
ศึกษาปัญหาและความต้องการพัฒนารูปแบบฯ พัฒนาเครื่องมือและสร้างรูปแบบฯ แบ่งเป็น 3 ระยะ
1)วิเคราะห์ ประเมิน เตรียมการ สถานการณ์ผู้ป่วยในชุมชน โดยการสนทนากลุ่ม 2)การจัดการรายกรณีโดยใช้
กระบวนการพยาบาลได้แก่การประเมิน การวินิจฉัยปัญหา วางแผน ดูแล ให้ชุมชนมีส่วนร่วมตามบทบาท
หน้าที่ 3) ลงมือปฏิบัติ ประเมินผล แลกเปลี่ยนเรียนรู้และ สรุปผล กลุ่มเป้าหมาย คัดเลือกโดยเลือกแบบ
เจาะจง แบ่งเป็น 3 กลุ่ม กลุ่มแรกเป็นทีมสหสาขาวิชาชีพที่เกี่ยวข้อง จำนวน 15 คน กลุ่มที่ 2เป็น ผู้ป่วยจิตเวช
เรื้อรัง (รหัส ICD -10 : F 20-29) มีประวัติใช้สารเสพติด โดยมีคุณสมบัติตามเกณฑ์คัดเข้า (Inclusion criteria)
จำนวน 10 คนและ ตัวแทนชุมชน จำนวน 54 คน เก็บรวบรวมข้อมูลโดยใช้แบบติดตามผู้ป่วยที่มีความเสี่ยงต่อ
การก่อความรุนแรง (SMI-V) ในชุมชน 10 ด้าน แบบประเมินอาการทางจิต แบบประเมินความสามารถโดยรวม
แบบสอบถามความพึงพอใจสำหรับญาติและผู้ดูแล (พิณณรัฐ ศรีหารักษา,2566) และวิเคราะห์ข้อมูลโดยการ
วิเคราะห์เนื้อหา หาค่าความถี่ ร้อยละและค่าเฉลี่ย
ผลการศึกษา
ข้อมูลทั่วไปและการจำแนกกลุ่มผู้ป่วยฯ พบส่วนใหญ่เป็นเพศชาย ร้อยละ 90 และเพศหญิง ร้อยละ 10
สถานภาพโสด ร้อยละ 70 สมรส ร้อยละ 20และหย่าร้าง ร้อยละ 10 และส่วนใหญ่ ไม่มีอาชีพ ร้อยละ 80
รองลงมาคือเกตรกรรม ร้อยละ 10 และรับจ้างร้อยละ 10 ส่วนใหญ่มีประวัติรักษาเป็นผู้ป่วยในด้วยอาการทาง
จิตแย่ลง เอะอะ อาละวาด ร้อยละ 70 และรองลงมามีประวัติใช้สารเสพติดหรือสุรา ร้อยละ 30 หลัง
ประเมินผลโครงการ ส่งผลให้ผู้ป่วยโรคร่วมจิตเวชสารเสพติดที่ก่อความรุนแรงในชุมชน มีค่าคะแนนอาการทาง
จิตลดลงและ ค่าคะแนนความสามารถโดยรวมเพิ่มขึ้น ทั้งหมด 10 คน ไม่ก่อความรุนแรงตลอดโครงการ
เจ้าหน้าที่รวมทั้งญาติและผู้ดูแลมีความพึงพอใจระดับมาก ร้อยละ 82 พึงพอใจระดับมากที่สุด ร้อยละ 10 และ
พึงพอใจระดับปานกลาง ร้อยละ 9
อภิปรายผล
สถานการณ์ผู้ป่วยฯพบว่า ชุมชนหวาดกลัวผู้ป่วยฯ ญาติหรือผู้ดูแล ขาดความรู้ ขาดทักษะในการดูแล
ขาดผู้ดูแลที่เป็นเจ้าภาพหลัก ขาดการดูแลที่ต่อเนื่อง อาการทางจิตแย่ลงก้าวร้าว นำไปสู่การใช้สารเสพติดที่
บ่อยครั้งขึ้นและมากขึ้น มีปัญหาสัมพันธภาพในครอบครัว ก่อความเดือดร้อนให้ครอบครัวและชุมชน
ครอบครัวทอดทิ้ง ไม่ดูแล หลังการนำการจัดการรายกรณีแบบมีส่วนร่วมในชุมชน มาใช้ มีพยาบาลเป็นผู้จัดการ
รายกรณี รับผิดชอบในการดูแล ประสานเชื่อมโยงระหว่างทีมดูแลในโรงพยาบาลและชุมชน ประเมินผู้ป่วย
กำหนดแนวทางและบทบาทในการดูแลในแต่ละสหวิชาชีพ หลังปฏิบัติติสะท้อนข้อมูลและปรับปรุงแก้ไข
สอดคล้องกับการวิจัยของพิณณรัฐ ศรีหารักษา (2566) พบว่าผลลัพธ์หลังการใช้การจัดการรายกรณีแบบมีส่วนร่วม