Page 428 - Best practice_Oral2024 (อัพเดต)
P. 428

L5

                  ผลการศึกษา
                         พบว่าสตรีวัยหมดประจำเดือนจำนวน 26 ราย ส่วนมากไม่มีโรคประจำตัว มีเพียง 6 รายที่เป็นเบาหวาน

                  ความดันโลหิตสูง และไขมันในเลือดสูง อายุเฉลี่ยเท่ากับ 48.09 ± 2.119 ปี โดยทุกรายไม่มีประจำเดือนมาแล้ว
                  มากกว่า 3 เดือน แต่ไม่เกิน 1 ปี ขณะเข้ารับการรักษาที่แพทย์แผนไทยไม่ได้รับการรักษาศาสตร์อื่นร่วมด้วย
                  หลังรับประทานยาครบ 3 เดือน พบว่า มีค่าเฉลี่ยผลรวมคะแนนของภาวะการขาดฮอร์โมนเอสโตรเจนตามแบบ
                  ประเมินอาการวัยทองลดลง โดยค่าเฉลี่ยก่อนรับประทานยาสมุนไพรตำรับนั้นเท่ากับ 24.0 คะแนน หลังจาก

                  รับประทานยา 3 เดือน มีค่าคะแนนเฉลี่ย 7.55 คะแนน ค่าความแตกต่างของผลรวมคะแนนก่อนและหลัง
                  รับประทานยา 3 เดือน พบว่า มีความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p<0.05) และหลังจากรับประทานยา
                  3 เดือนไม่พบอาการข้างเคียงใดๆในสตรีวัยหมดประจำเดือน

                  อภิปรายผล
                         หลังจากที่สตรีวัยหมดประจำเดือนเข้ารับการรักษาต่อเนื่องเป็นระยะเวลา 3 เดือน ร่วมกับการปรับ

                  พฤติกรรมด้วยการทำสมาธิบำบัด พบว่า ผลการรักษาของสตรีวัยหมดประจำเดือนดีขึ้น โดยอาการที่พบมีความ
                  หลากหลายแตกต่างกันออกไป เช่น อาการร้อนวูบวาบ เหงื่อออกเยอะ หงุดหงิดง่าย อารมณ์แปรปรวน วิตก
                  กังวล นอนไม่หลับ ผิวหนังแห้ง ช่องคลอดแห้ง และเมื่อติดตามประเมินผลการรักษาจากค่าผลรวมของคะแนน

                  แบบประเมินอาการวัยทอง พบว่า ผลรวมคะแนนของผู้ป่วยลดลง นั่นแสดงว่า ผลการรักษาผู้ป่วยด้วยยา
                  สมุนไพรตำรับดีขึ้น ความเสี่ยงต่อการขาดฮอร์โมนเอสโตรเจนลดน้อยลง
                           ตามทฤษฎีแพทย์แผนไทยเรียกภาวะวัยทองว่า“เลือดจะไป ลมจะมา” ซึ่งเป็นคำกล่าวที่แปลความหมาย
                  ได้ว่า เลือดจะไป คือ ต่อมโลหิตระดูจะไม่ทำงานได้เหมือนเดิม เลือดจะลดน้อยลง หมายถึงการหมดประจำเดือน
                  ลมจะมา คือ ช่วงวัยเปลี่ยนไปสู่ช่วงวัยของวาตะสมุฏฐาน ซึ่งอาการของสตรีวัยหมดประจำเดือนส่วนใหญ่

                  เป็นอาการทางวาตะกำเริบ ได้แก่ อาการร้อนวูบวาบ ผิวแห้ง คัน ปวดเมื่อย นอนไม่หลับ หงุดหงิดง่าย หลังจาก
                  ที่มีการกำเริบของวาตะส่งผลให้ปิตตะที่เคยสมดุลเกิดการหย่อน โดยปิตตะสมุฏฐานที่ถูกกระทบทำให้มีอาการ
                  แสดงออก ดังนี้ หนาวง่าย มือเท้าเย็น เป็นต้น และในท้ายที่สุดธาตุที่ถูกกระทบอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ คือ เสมหะ

                  ที่ส่งผลให้ภาวะประจำเดือนขาดหายไปในท้ายที่สุด
                            การใช้ยาสมุนไพรที่ช่วยปรับธาตุให้เกิดการสมดุลควรเป็นยารสสุขุมร้อน เพื่อช่วยกระจายกองวาตะ
                  และปรับสมดุลของปิตตะ รวมถึงต้องมีตัวยาที่ช่วยบำรุงรักษาเสมหะร่วมด้วย จึงจะทำให้ผู้ป่วยอาการดีขึ้น
                  และเมื่อพิจารณาสมุนไพรในตำรับยาสมุนไพรตำรับพระขรรค์ชัยที่ใช้ในการรักษาผู้ป่วย พบว่า ยาสมุนไพร
                  ตำรับนี้ประกอบด้วยลูกจันทน์เทศ แก่นกฤษณา ว่านน้ำ และเกสรบัวหลวงในสัดส่วนที่แตกต่างกัน โดยมีรส

                  ประธานยาตำรับเป็นสุขุมร้อน มีลูกจันทน์เทศ แก่นกฤษณา ว่านน้ำที่ออกฤทธิ์ไปทางรสร้อน ช่วยกระจาย
                  กองวาตะ ปรับสมดุลปิตตะ ทำให้อาการต่างๆของผู้ป่วยดีขึ้น เช่น ร้อนวูบวาบ นอนไม่หลับ หงุดหงิดง่าย
                  ซึ่งสอดคล้องกับงานวิจัยปี 2566 ของกนกนันท์ หล้าสองเมือง และธวัชชัย กมลธรรมที่มีการศึกษาประสิทธิการ

                  รักษาอาการนอนไม่หลับของยาเบญจเกสรในหญิงวัยหมดประจำเดือน โดยตำรับยาเบญจเกสรนี้ประกอบด้วย
                  มะลิ พิกุล บุนนาค สารภี และเกสรบัวหลวง ซึ่งรสประธานยาตำรับนี้ คือ รสสุขุม ในงานวิจัยแบ่งกลุ่มผู้เข้ารับ
                  การทดลองเป็น 2 กลุ่ม คือ กลุ่มที่ให้ยาเบญจเกสรจำนวน 27 คน กลุ่มที่ให้ยาหลอก จำนวน 27 คน ตลอด
                  ระยะเวลา 4 สัปดาห์ พบว่า กลุ่มที่ให้ยาเบญจเกสรสามารถบรรเทาอาการเหงื่อออกมาก ปวดศีรษะ อารมณ์
                  แปรปรวน หงุดหงิดและนอนไม่หลับได้ดีกว่ากลุ่มที่ได้รับยาหลอกโดยมีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญ

                  ทางสถิติ p<0.05
   423   424   425   426   427   428   429   430   431   432   433