Page 280 - Best Practice Poster 2024 (อัพเดต)
P. 280
F38
1.ขั้นศึกษาสถานการณ์ มีการวิเคราะห์สถานการณ์การดูแลตนเองและความต้องการของหญิงตั้งครรภ์
การดูแลช่วยเหลือของครอบครัวและชุมชน สถานการณ์การให้บริการของเจ้าหน้าที่โรงพยาบาลเรณูนคร
เพื่อเป็นการค้นหาปัญหาและความต้องการด้านบริการดูแลหญิงตั้งครรภ์
2. ขั้นดำเนินการ
2.1 การวางแผน : นำข้อมูลที่ได้จากการสัมภาษณ์มาวิเคราะห์ให้ได้สถานการณ์และปัญหา
จากกลุ่มเป้าหมาย แล้วนำข้อมูลดังกล่าวมาวางแผนการดำเนินงานอย่างเป็นระบบซึ่งจะเน้นให้ทุกกลุ่ม
มีส่วนร่วม กระตุ้นให้มีการแสดงความคิดเห็น มีการระดมสมองหาวิธีหรือแนวทางที่จะแก้ไขปัญหา
2.2 ระยะปฏิบัติการ : มีการลงมือปฏิบัติตามแผนที่กำหนดร่วมกัน โดยประกอบด้วยประเด็น
ที่ต้องการพัฒนา ข้อมูลสนับสนุน วัตถุประสงค์ เป้าหมายที่ต้องการ วิธีดำเนินการ ตัวชี้วัด และผู้รับผิดชอบ
ระหว่างปฏิบัติการจะมีการเก็บรวบรวมข้อมูลโดยการสังเกตแบบมีส่วนร่วมและไม่มีส่วนร่วม
2.3 ระยะสังเกต : มีการสังเกตผู้มีส่วนร่วม พบว่าทุกคนที่เกี่ยวข้อง มีการปฏิบัติการตามแผนที่กำหนด
มีการให้ความร่วมมือในการศึกษา สะท้อนความคิดเห็น ติดตาม ตรวจสอบตามที่กำหนดไว้ นอกจากนี้มีการรวบรวม
ปัญหาและอุปสรรคในการดำเนินกิจกรรม จากนั้นมาร่วมกันวางแผนปรับปรุงใหม่ในรอบต่อไป
2.4 ระยะสะท้อนผลการปฏิบัติ : มีการจัดประชุมกลุ่มแลกเปลี่ยนความคิดเห็นต่อการเปลี่ยนแปลง
ที่เกิดขึ้นหลังการพัฒนา เปรียบเทียบข้อมูลก่อนและหลังดำเนินการพัฒนา มีการเสนอความคิดเห็นในประเด็น
ที่ยังไม่บรรลุผล ค้นหาปัญหา อุปสรรค สาเหตุของปัญหา พร้อมทั้งร่วมกันจัดทำแผนหรือแนวทางดำเนินการ
เพื่อพัฒนาแนวทางการให้บริการดูแลหญิงตั้งครรภ์เพื่อป้องกันการคลอดก่อนกำหนด
3. ขั้นประเมินผล
3.1 การติดตามประเมินผลระหว่างดำเนินการ เพื่อประเมินว่าในการดำเนินงานตามแผนที่กำหนด
ไว้นั้น เมื่อนำไปปฏิบัติแล้ว พบปัญหาและอุปสรรคขณะดำเนินการหรือไม่ สิ่งที่จะต้องแก้ไขปรับปรุง
ให้สอดคล้องกับปัญหาความต้องการของหญิงตั้งครรภ์ ครอบครัวและชุมชนในระยะเวลานั้น
3.2 การประเมินผลสรุปการศึกษา เป็นการประเมินผลหลังจากทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องร่วมกันปฏิบัติตาม
แผนที่กำหนดไว้ ร่วมกันค้นหาประเด็น สาเหตุที่ยังไม่บรรลุผล สิ่งที่เป็นข้อจำกัดหรืออุปสรรคต่อการปฏิบัติการ
มีการประเมินวิธีการ รูปแบบกิจกรรม กระบวนการและผลลัพธ์
ผลการศึกษา
1. การศึกษาสถานการณ์การดูแลหญิงตั้งครรภ์ สรุปประเด็นปัญหาคือ 1) หญิงตั้งครรภ์ขาดความรู้
ในการป้องกันการคลอดก่อนกำหนด 2) ครอบครัวขาดความรู้ในการให้คำแนะนำการดูแลตนเองแก่หญิง
ตั้งครรภ์ ต้องการรับฟังการให้ความรู้คำแนะนำในการป้องกันการคลอดก่อนกำหนด จากเจ้าหน้าที่ผู้ให้บริการ
สุขภาพ 3) อาสาสมัครสาธารณสุขมีส่วนร่วมในการดูแลหญิงตั้งครรภ์น้อย ขาดความรู้ในการให้คำแนะนำ
หรือการปรึกษาขณะตั้งครรภ์ ไม่มีการติดตามเยี่ยมบ้าน 4) องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นยังไม่มีส่วนร่วมในการดูแล
หญิงตั้งครรภ์ 5) การให้ความรู้โรงเรียนพ่อแม่ในคลินิกฝากครรภ์ ยังไม่ได้เน้นเกี่ยวกับการป้องกันและเฝ้าระวัง
การคลอดก่อนกำหนดโดยเฉพาะ ยังไม่มีอาการเตือนล่วงหน้า (Early Warning sign) มอบให้แก่หญิงตั้งครรภ์
2. กระบวนการศึกษาแนวทางการให้บริการดูแลหญิงตั้งครรภ์เพื่อป้องกันการคลอดก่อนกำหนด
โดยการมีส่วนร่วมของครอบครัวและชุมชน 1) พัฒนาระบบการให้บริการหญิงตั้งครรภ์ ในโรงพยาบาลและในชุมชน
2) พัฒนาความรู้และส่งเสริมการมีส่วนร่วมของครอบครัวในการดูแลหญิงตั้งครรภ์ 3) จัดให้มีระบบการค้นหา
หญิงตั้งครรภ์รายใหม่ในชุมชนและส่งต่อข้อมูลจากชุมชนถึงสถานบริการ มีระบบการเยี่ยมบ้าน 4) จัดทำ
หลักสูตรการสอนโรงเรียนพ่อ แม่ที่เน้นการป้องกันและเฝ้าระวังการคลอดก่อนกำหน มีการจัดทำแผนการสอน