Page 138 - Best practice_Oral2024 (อัพเดต)
P. 138
D2
ได้รับก่อนคลอด การใส่ท่อช่วยหายใจแรกเกิด การมีภาวะความดันโลหิตต่ำ ภาวะลำไส้อักเสบ ภาวะปอดเรื้อรัง
ภาวะจอประสาทตาอักเสบ
4. นำข้อมูลที่ได้มาเปรียบเทียบกับอุบัติการณ์การเกิดภาวะเลือดออกในโพรงสมองระดับ 3 ขึ้นไป โดยมี
การใช้สถิติ คือ t-test, Chi-square test หรือ Fisher’s exact test ขึ้นอยู่กับลักษณะของข้อมูล และ
กำหนดให้ P <0.05 ถือว่ามีความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ
ผลการศึกษา
จากการเก็บข้อมูลตั้งแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2566 – 31 มกราคม 2567 แบ่งเป็นช่วงก่อนใช้แนวปฏิบัติ
(pre-intervention) 6 เดือน และหลังใช้แนวปฏิบัติ (post-intervention) 6 เดือน โดยมีการเริ่มใช้แนวปฏิบัติ
ตั้งแต่วันที่ 1 สิงหาคม 2566 มีผู้ป่วยทารกแรกเกิดน้ำหนักน้อยกว่า 1,500 กรัมทั้งหมด 86 ราย โดย 43 ราย
อยู่ในกลุ่มก่อนใช้แนวปฏิบัติ และ 43 ราย อยู่ในกลุ่มหลังใช้แนวปฏิบัติ อายุครรภ์เฉลี่ยของทารกในกลุ่มก่อนใช้
แนวปฏิบัติและหลังใช้แนวปฏิบัติอยู่ที่ 29.3 สัปดาห์และ 29.6 สัปดาห์ตามลำดับ ซึ่งไม่แตกต่างกันอย่างมี
นัยสำคัญทางสถิติ พบอุบัติการณ์การเกิดภาวะเลือดออกในโพรงสมองระดับ 3 ขึ้นไปในกลุ่มก่อนใช้แนวปฏิบัติ
จำนวนร้อยละ 13.95 และร้อยละ 4.65 ในกลุ่มหลังใช้แนวปฏิบัติ
ทั้งกลุ่มก่อนและหลังใช้แนวปฏิบัติไม่มีความต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติในอายุครรภ์ เพศ น้ำหนัก
แรกเกิด สถานที่เกิด ยาที่มารดาได้รับก่อนคลอด การใส่ท่อช่วยหายใจแรกเกิด การมีภาวะความดันโลหิตต่ำ
ภาวะลำไส้อักเสบ ภาวะปอดเรื้อรัง และภาวะจอประสาทตาอักเสบ
ในกลุ่มก่อนใช้แนวปฏิบัติมีทารก 1 รายเสียชีวิตก่อนได้รับการตรวจคัดกรองภาวะเลือดออกในโพรงสมอง
อัลตร้าซาวด์สมอง และไม่ได้ตรวจคัดกรองภาวะเลือดออกโพรงสมองทั้งหมด 2 ราย
ในกลุ่มหลังใช้แนวปฏิบัติมีทารก 3 รายเสียชีวิตก่อนได้รับการตรวจคัดกรองภาวะเลือดออกในโพรงสมอง
อัลตร้าซาวด์สมอง และทารกทุกรายได้รับการตรวจคัดกรองภาวะเลือดออกโพรงสมอง
อภิปรายผล
ภาวะเลือดออกในโพรงสมองระดับ 3 ขึ้นไป เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ทารกเสียชีวิต และมีความพิการ
ทางสมอง จากผลการศึกษาพบว่าข้อมูลพื้นฐานและภาวะแทรกซ้อนของกลุ่มประชากรในกลุ่มก่อนใช้แนวปฏิบัติ
และกลุ่มหลังใช้แนวปฏิบัติไม่มีความต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ การใช้แนวปฏิบัติเพื่อป้องกันการเกิด
ภาวะเลือดออกในโพรงสมองของทารกแรกเกิดที่มีน้ำหนักตัวน้อยกว่า 1,500 กรัม จึงเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยลด
การเกิดภาวะเลือดออกในโพรงสมองระดับ 3 ขึ้นไปได้มากกว่าร้อยละ 50 ตามค่าเป้าหมาย (จากร้อยละ 13.95
ลดลงเป็นร้อยละ 4.65) นอกจากนี้ยังพบว่าทำให้การตรวจคัดกรองภาวะเลือดออกในโพรงสมองทำได้ครบถ้วน
ทุกรายตามข้อบ่งชี้มากขึ้น แม้โรงพยาบาลเชียงรายประชานุเคราะห์จะมีการตรวจคัดกรองภาวะเลือดออกใน
โพรงสมองตั้งแต่ปี พ.ศ. 2563 แต่ยังไม่เคยมีแนวปฏิบัติในการดูแลผู้ป่วยที่ชัดเจน การเริ่มใช้แนวปฏิบัตินี้มีจึงมี
ผลลัพธ์ที่ดีตามเป้าหมายที่ตั้งไว้
สรุปและข้อเสนอแนะ
การใช้แนวปฏิบัติเพื่อป้องกันการเกิดภาวะเลือดออกในโพรงสมองของทารกแรกเกิดที่มีอายุครรภ์
น้อยกว่าเท่ากับ 32 สัปดาห์หรือน้ำหนักตัวน้อยกว่า 1,500 กรัม พบว่าช่วยลดการเกิดภาวะเลือดออกในโพรงสมอง
ระดับ 3 จากร้อยละ 13.95 เป็นร้อยละ 4.65 และยังทำให้การตรวจคัดกรองมีความครบถ้วนมากขึ้น ซึ่งแนวปฏิบัตินี้
จะเป็นส่วนหนึ่งของแนวทางการดูแลทารกแรกเกิดความเสี่ยงสูงของโรงพยาบาลเชียงรายประชานุเคราะห์
(Comprehensive newborn care) เพื่อเป้าหมายในการลดอัตราตาย และภาวะแทรกซ้อนต่าง ๆ จึงควรมี
การนำไปปรับใช้ในโรงพยาบาลที่มีการเกิดทารกแรกเกิดที่มีน้ำหนักตัวน้อยกว่า 1,500 กรัมเพื่อผลลัพธ์ที่ดี
ในการดูแลผู้ป่วย