Page 156 - Best practice_Oral2024 (อัพเดต)
P. 156

D20

                  วิธีการศึกษา

                         1. ผู้วิจัยชี้แจงวัตถุประสงค์ในการวิจัย รายละเอียดการเก็บรวบรวมข้อมูล และขอความร่วมมือผู้ดูแล
                  ทารกที่มีภาวะตัวเหลืองที่มีคุณสมบัติครบถ้วนตามที่ผู้ศึกษากำหนดไว้ ได้รับทราบก่อนเก็บรวบรวมข้อมูล
                         2. ผู้วิจัยเก็บข้อมูลด้วยตนเองตามแบบประเมินความรู้ Pre-test ที่เป็นไปได้ต่อการใช้รูปแบบการ

                  วางแผนจำหน่ายทารกที่มีภาวะตัวเหลือง
                         3. ผู้วิจัยให้ความรู้โดยการแสกน QR code แบบให้ความรู้ในเรื่องภาวะตัวเหลือง การรักษา และวิธีการ
                  ป้องกัน ให้แก่ผู้ดูแล
                         4. เปิดโอกาสให้ผู้ดูแลสอบถามข้อมูลทั่วไปเกี่ยวกับภาวะตัวเหลือง

                         5. ผู้วิจัยเก็บข้อมูลด้วยตนเองตามแบบประเมินความรู้ Post-test ที่เป็นไปได้ต่อการใช้รูปแบบการ
                  วางแผนจำหน่ายทารกที่มีภาวะตัวเหลือง
                         6. ผู้วิจัยเก็บรวบรวมแบบประเมินความรู้ Pre-test  แบบประเมินความรู้ Post-test และแบบประเมิน
                  ความพึงพอใจ

                         7. นำข้อมูลมาวิเคราะห์และประเมินผล

                  ผลการศึกษา
                         ผลการวิจัย ลักษณะข้อมูลส่วนบุคคล ผู้ดูแลทารกแรกเกิดที่มีภาวะตัวเหลือง เป็นเพศหญิง (ร้อยละ
                  100) เกี่ยวข้องเป็นมารดา (ร้อยละ 100) มีอายุ 20-39 ปี (ร้อยละ 76.7) สถานภาพสมรส (ร้อยละ 56.7)
                  การศึกษาระดับมัธยมศึกษา(ร้อยละ 46.7) ไม่ได้ประกอบอาชีพ (ร้อยละ 43.3) ไม่มีประสบการณ์ดูแลทารกมา

                  ก่อน (ร้อยละ 63.3) และไม่มีประสบการณ์ดูแลทารกที่มีภาวะตัวเหลือง (ร้อยละ 93.6)
                         การเปรียบเทียบความรู้ผ่านแบบทดสอบพบว่า ก่อนการให้ความรู้ผู้ดูแลมีความรู้เรื่องการดูแลทารกที่มี
                  ภาวะตัวเหลือง ระดับดี (ร้อยละ 46.7) ระดับปานกลาง (ร้อยละ 20) ระดับน้อย (ร้อยละ 33.3) มีคะแนนเฉลี่ย
                  5.90 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน 2.32 หลังการให้ความรู้ผู้ดูแลมีความรู้เรื่องการดูแลทารกที่มีภาวะตัวเหลือง ระดับดี

                  (ร้อยละ 100) มีคะแนนเฉลี่ย 9.83 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน .37 เมื่อนำมาทดสอบด้วยสถิติ Paired t-Test พบว่า
                  คะแนนเฉลี่ยหลังความรู้ให้ความรู้ผู้ดูแลมีความรู้เรื่องการดูแลทารกที่มีภาวะตัวเหลือง สูงกว่าก่อนการให้ความรู้
                  อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (t=9.93), (p=0.000)

                         การเปรียบเทียบทักษะผ่านแบบทดสอบพบว่า ก่อนฝึกปฏิบัติ ระดับน้อย (ร้อยละ 100) มีคะแนนเฉลี่ย
                  .233 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน 2.32 หลังการปฏิบัติ ระดับดี (ร้อยละ 100) มีคะแนนเฉลี่ย 9.00 ส่วนเบี่ยงเบน
                  มาตรฐาน .000 เมื่อนำมาทดสอบด้วยสถิติ Paired t-Test พบว่า คะแนนเฉลี่ยหลังการฝึกทักษะผู้ดูแลมีความรู้
                  เรื่องการดูแลทารกที่มีภาวะตัวเหลือง สูงกว่าก่อนการฝึกทักษะ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (t=76.6), (p=0.000)

                  อภิปรายผล

                         จากการศึกษาพบว่าคะแนนเฉลี่ยความแตกฉานในการให้ความรู้ผู้ดูแลทารกที่มีภาวะตัวเหลืองเพื่อ
                  ป้องกันการกลับมารักษาซ้ำในทารกตัวเหลืองหลังได้รับโปรแกรมการวางแผนจำหน่ายด้วยรูปแบบ IDEAL สูง
                  กว่าก่อนได้รับการวางแผนจำหน่ายอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (t = 9.953; p = 0.000 ) คะแนนเฉลี่ยความ
                  แตกฉานในการให้ฝึกทักษะผู้ดูแลทารกที่มีภาวะตัวเหลืองหลังได้รับโปรแกรมการวางแผนจำหน่ายด้วยรูปแบบ

                  IDEAL สูงกว่าก่อนได้รับการวางแผนจำหน่ายอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (t = 76.69; p = 0.000 ) ทั้งนี้อภิปราย
                  ได้ว่าการให้ความรู้และการฝึกทักษะผู้ดูแลทารกที่มีภาวะตัวเหลืองโดยใช้โปรแกรมการวางแผนจำหน่าย
                  รูปแบบ IDEAL เป็นกิจกรรมการวางแผนจำหน่ายที่ครอบคลุมการหาผู้ดูแลหลัก และนำเข้ามามีส่วนร่วมในการ
                  ดูแลและวางแผนจำหน่าย พูดคุยกับผู้ดูแลหลัก โดยใช้หลักการ 5 ประเด็น ข้างต้น ขณะเข้าเยี่ยมทารกระหว่าง

                  อยู่ป่วย การให้ความรู้แก่ผู้ดูแลทารกในการดูแลทารกเมื่อกลับไปอยู่บ้าน โดยใช้แอพพลิเคชั่น line official “รู้ทัน
                  ตัวเหลือง”ประเมินครั้งที่ 1 ก่อนให้ความรู้ (pre-test) แรกรับ รับฟังปัญหา และเปิดโอกาสให้ผู้ดูแลสอบถาม
   151   152   153   154   155   156   157   158   159   160   161