Page 619 - Best practice_Oral2024 (อัพเดต)
P. 619

Q5

                  คล้ายคลึงกับการวิจัยครั้งนี้ ได้ค่าขนาดอิทธิพล 0.50 คำนวณได้ขนาดกลุ่มตัวอย่างรวม 60 คน เพื่อป้องกัน

                  การสูญหายจากการติดตาม ผู้วิจัยจึงเพิ่มขนาดของกลุ่มตัวอย่างร้อยละ 35 รวมจำนวนกลุ่มตัวอย่าง 80 คน
                  การวิจัยครั้งนี้ใช้ CURN model เป็นกรอบในการพัฒนาแนวปฏิบัติการพยาบาล แบ่งออกเป็น 4 ระยะ คือ

                  1) ระยะศึกษาสถานการณ์ การสังเกตปรากฏการณ์ทางคลินิก ร่วมกับทบทวนแนวปฏิบัติเดิม และทบทวนเวช

                  ระเบียนผู้ป่วยที่ใส่ท่อช่วยหายใจระหว่างเดือนตุลาคม พ.ศ. 2565 ถึง เดือนเมษายน พ.ศ. 2566 2) ระยะ
                  พัฒนารูปแบบและแนวปฏิบัติการพยาบาลเพื่อป้องกันการถอดท่อช่วยหายใจโดยไม่ได้วางแผนในผู้ป่วยวิกฤต

                  นำผลการศึกษาจากระยะที่ 1 มาเป็นแนวทางในการกำหนด ขอบเขตของปัญหา วัตถุประสงค์ กลุ่มเป้าหมาย

                  และสืบค้นหลักฐานเชิงประจักษ์ พัฒนาแนวปฏิบัติการพยาบาลฯ ประกอบด้วย การประเมินความเสี่ยงใน
                  การถอดท่อช่วยหายใจโดยไม่ได้วางแผน การให้ข้อมูลแก่ผู้ป่วยและครอบครัว การสื่อสารที่มีประสิทธิภาพ การ

                  ดูดเสมหะที่มีประสิทธิภาพ การวัด Cuff pressure และการยึดตรึงท่อช่วยหายใจ เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย
                  ประกอบด้วย เครื่องมือที่ใช้ในการดำเนินการวิจัย เป็นแนวปฏิบัติการพยาบาลฯ ที่พัฒนาขึ้น เครื่องมือที่ใช้ใน

                  การกำกับการวิจัย คือ แบบบันทึกการปฏิบัติตามแนวปฏิบัติการพยาบาลฯ ติดตามเวร เช้า บ่าย ดึก

                  ตามการปฏิบัติงาน เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล ได้แก่ แบบเก็บข้อมูลพื้นฐาน และข้อมูลด้าน
                  ความเจ็บป่วย แบบบันทึกการเกิด UE แบบสอบถามข้อมูลส่วนบุคคลของพยาบาลวิชาชีพแบบสอบถามความรู้

                  การดูแลผู้ป่วยเพื่อป้องกัน UE และแบบประเมินความพึงพอใจของพยาบาลต่อแนวปฏิบัติการพยาบาลฯ
                  ตรวจสอบคุณภาพเครื่องมือโดยผ่านผู้ทรงคุณวุฒิ 3 ท่าน ปรับแก้ไขตามข้อเสนอแนะ ซึ่งแนวปฏิบัติการ

                  พยาบาลฯ ที่พัฒนาขึ้นจากหลักฐานเชิงประจักษ์ แบบสอบถามความรู้การดูแลผู้ป่วยเพื่อป้องกัน UE และ

                  แบบประเมินความพึงพอใจของพยาบาลต่อแนวปฏิบัติพยาบาลฯ ได้ค่าดัชนีความตรงเชิงเนื้อหา 0.98, 0.95
                  และ 0.93 ตามลำดับ การเก็บรวบรวมข้อมูล การวิจัยนี้ได้รับอนุมัติจากคณะกรรมการจริยธรรมการวิจัย

                  ในมนุษย์ โรงพยาบาลพระนครศรีอยุธยา เลขที่โครงการวิจัย 021/2566 หลังได้รับการอนุมัติผู้วิจัยชี้แจง

                  วัตถุประสงค์ รายละเอียดในการดำเนินการเก็บข้อมูลแก่หัวหน้าหอผู้ป่วยวิกฤตอายุรกรรม ดำเนินการคัดเลือก
                  กลุ่มตัวอย่างและเก็บรวบรวมข้อมูล ดังนี้ 1) ประเมินความรู้พยาบาลในการดูแลผู้ป่วยเพื่อป้องกัน UE

                  2) กลุ่มควบคุม คัดเลือกแบบเจาะจงจากเวชระเบียนผู้ป่วยในที่เข้ารับการรักษาในหอผู้ป่วยวิกฤตอายุรกรรม
                  ระหว่างเดือนตุลาคม พ.ศ. 2565 ถึงเดือนเมษายน พ.ศ. 2566 จำนวน 40 ราย เก็บรวบรวมข้อมูลโดยใช้แบบ

                  เก็บข้อมูลพื้นฐาน และข้อมูลด้านความเจ็บป่วย แบบบันทึกการเกิด UE 3) กลุ่มทดลอง คัดเลือกแบบเจาะจง

                  จากผู้ป่วยใส่ท่อช่วยหายใจทางปาก ที่เข้ารับการรักษาในหอผู้ป่วยวิกฤตอายุรกรรม และได้รับการดูแลโดยใช้
                  แนวปฏิบัติการพยาบาลฯ ระหว่างเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2566 ถึงเดือนธันวาคม พ.ศ. 2566 จำนวน 40 ราย

                  เก็บรวบรวมข้อมูลโดยใช้แบบเก็บข้อมูลพื้นฐาน และข้อมูลด้านความเจ็บป่วย แบบบันทึกการเกิด UE
                  4) ประเมินความรู้และประเมินความพึงพอใจของพยาบาล หลังการใช้แนวปฏิบัติการพยาบาลฯ 5) ผู้วิจัย

                  เก็บรวบรวมข้อมูล ตรวจสอบความถูกต้อง ครบถ้วนของข้อมูล

                  วิเคราะห์ข้อมูล โดยใช้สถิติความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน เพื่ออธิบายลักษณะข้อมูลพื้นฐาน

                  และข้อมูลด้านความเจ็บป่วยของกลุ่มตัวอย่าง ความพึงพอใจของพยาบาลต่อแนวปฏิบัติการพยาบาลฯ ใช้สถิติ

                  chi-square เปรียบเทียบอัตรา UE ใช้สถิติ Wilcoxon Signed Rank test เปรียบเทียบค่าเฉลี่ยคะแนนความรู้
                  การดูแลผู้ป่วยเพื่อป้องกัน UE และใช้สถิติ Mann-Whitney U test เปรียบเทียบความแตกต่างจำนวนวันใส่
   614   615   616   617   618   619   620   621   622   623   624