Page 622 - Best practice_Oral2024 (อัพเดต)
P. 622

Q8

                  ประสิทธิภาพของ RFH-NPT, NAF-BMI, NAF-TLC และ NAF-ALB โดยใช้ GLIM เป็นข้อมูลอ้างอิง ความไว

                  ความจำเพาะ ค่าทำนายเชิงบวก (PPV) ค่าทำนายเชิงลบ (NPV) และความแม่นยำในการทดสอบได้รับการ
                  คำนวณโดยใช้เครื่องมือคัดกรองโภชนาการ โดยมีการวินิจฉัยภาวะทุพโภชนาการตามเกณฑ์ GLIM ซึ่งทำหน้าที่

                  เป็นการทดสอบมาตรฐาน ค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์อันดับสเปียร์แมน (ρ) ใช้เพื่อประเมินความสัมพันธ์

                  ระหว่าง NAF, RFH-NPT และองค์ประกอบของร่างกาย และผลทางห้องปฏิบัติการทั้งหมด การทดสอบคัปปา
                  ของโคเฮน (ค่า k) ถูกนำมาใช้เพื่อประเมินข้อตกลงระหว่างตัวแปรและ GLIM การทดสอบทั้งหมดเป็นแบบสอง

                  ด้าน และ p <0.05 ถือว่ามีนัยสำคัญทางสถิติ

                  ผลการศึกษา:

                         ผู้ป่วยร้อยละ 43 ถูกระบุว่ามีความเสี่ยงต่อภาวะทุพโภชนาการโดย RFH-NPT ในขณะที่ NAF-BMI,

                  NAF-TLC, และ NAF-ALB จะพบว่า ผู้ป่วยมีความเสี่ยงต่อภาวะทุพโภชนาการ ร้อยละ 41.9, 46.9, และ 46.3
                  ตามลำดับ และหากใช้เกณฑ์ของ GLIM เป็นเครื่องมือมาตรฐานในการวินิจฉัย จะพบความชุกของภาวะ

                  ทุพโภชนาการ ร้อยละ 18.4 แบบประเมินภาวะโภชนาการ NAF-BMI, NAF-ALB, และ NAF-TLC มีความไว

                  ร้อยละ 93.9, 96.9, และ 93.9%, ความจำเพาะร้อยละ 69.9, 65.1, และ 63.7 ตามลำดับ สำหรับ RFH-NPT
                  แสดงความไวร้อยละ 90.9 และความจำเพาะร้อยละ 66.4 พบความสัมพันธ์ระดับสูงระหว่าง RFH-NPT

                  กับคะแนน NAF-BMI (ρ = 0.75, p < 0.05) และพบความสัมพันธ์ระดับปานกลางระหว่างคะแนน NAF-BMI

                  กับระดับความรุนแรงของโรคตับแข็ง (ρ = 0.41, p < 0.05) โดยที่ระยะเวลาเสร็จสิ้นในการทำการคัดกรอง
                  โดย NAF และ RFH-NPT ไม่แตกต่างกันระหว่างวิธี


                  อภิปรายผล:
                         ในการศึกษานี้ พบความสัมพันธ์อย่างมากระหว่าง NAF และ RFH-NPT ซึ่งเป็นเครื่องมือคัดกรอง

                  ที่แนะนำตามแนวทางปัจจุบันของสมาคมยุโรป ในขณะที่ NAF ได้รับคำแนะนำจากสมาคมโภชนาการ

                  ทางหลอดเลือดและทางเดินอาหารแห่งประเทศไทย ให้ใช้ประเมินภาวะโภชนาการในฐานะเครื่องมือประเมิน
                  ที่ผ่านการตรวจสอบแล้วสำหรับผู้ป่วยที่นอนโรงพยาบาล แต่ในการศึกษานี้นำเครื่องมือ NAF มาใช้สำหรับ

                  การคัดกรองสำหรับผู้ป่วยนอกโรคตับ ซึ่งเป็นงานวิจัยแรก NAF แสดงให้เห็นถึงความไวและความจำเพาะสูง

                  ในการวินิจฉัยภาวะทุพโภชนาการที่มีความเสี่ยง เวลาที่ต้องใช้ในการทำเครื่องมือเหล่านี้ให้เสร็จสิ้นใช้เวลา
                  เทียบเคียงกัน โดยใช้เวลาไม่ถึง 3 นาที การศึกษาครั้งนี้เป็นครั้งแรกในการประเมินประสิทธิภาพของ NAF

                  โดยเน้นความน่าเชื่อถือของเครื่องมือเป็นสำคัญในผู้ป่วยนอกโรคตับแข็ง ซึ่งผู้ป่วยโรคตับแข็งอาจมีภาวะบวมน้ำ
                  ซึ่งรบกวนกับการคำนวณได้ ดังนั้นการใช้ NAF ในการประเมินอาจใช้ จำนวนเม็ดเลือดขาวทั้งหมด (TLC)

                  หรือซีรั่มอัลบูมินถูกนำมาใช้แทนน้ำหนักตัวในการให้คะแนน NAF ได้ และพบความสัมพันธ์ระหว่าง NAF

                  ซึ่งคำนวณจากดัชนีมวลกาย ปริมาณเม็ดเลือดขาว และระดับอัลบูมิน อีกทั้ง NAF ได้รับการพิสูจน์แล้วว่ามี
                  ประโยชน์ในการจำแนกภาวะทุพโภชนาการที่มีความเสี่ยงในผู้ป่วยนอกโรคตับแข็ง

                         อีกทั้งจุดเด่นของงานวิจัยคือ มีการใช้ GLIM เป็นเครื่องมือมาตรฐานสำหรับการประเมินโภชนาการ
                  ซึ่งเป็นอีกเครื่องมือที่มีการใช้ทั่วโรค ซึ่งสามารถทําซ้ำได้และขจัดความผันแปรที่อาจเกิดขึ้น เมื่อเทียบ

                  กับเครื่องมือ Subjective Global Assessments ซึ่งอาจแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับผู้ตรวจสอบ ในการศึกษานี้
   617   618   619   620   621   622   623   624   625   626   627