Page 718 - Best practice_Oral2024 (อัพเดต)
P. 718

T5

                  ด้านการใช้ภาษา, ด้านมิติสัมพันธ์, ด้านการบริหารจัดการ, ด้านการรับรู้สภาวะรอบตัว,นันทนาการและ
                  ออกกำลังกาย 2) นัดผู้ป่วยเข้าทำกิจกรรมตามโปรแกรม เดือนละ 1 ครั้ง และทำการบ้านต่อเนื่องที่บ้าน

                  3 ครั้ง/สัปดาห์ 3) ได้รับการวินิจฉัยจากแพทย์เข้ารับการรักษาด้วยการใช้ยาอย่างน้อย 1 ครั้ง
                         ระยะที่ 3 ระยะประเมินผลลัพธ์รูปแบบการดูแลผู้สูงอายุที่มีภาวะเสี่ยงต่อการเกิดโรคสมองเสื่อมโดยใช้
                  วิธีศึกษาวิจัยเชิงปริมาณ การปรับปรุงรูปแบบ โดยประเมินผลลัพธ์ ใน 3 ด้าน ดังนี้
                         1) ประเมินคะแนน ADL (ความสามารถในการปฏิบัติกิจวัตรประจำวัน: The Activity of daily living

                  barthel index) เปรียบเทียบก่อนและหลังเข้าร่วมโปรแกรมในเดือนที่ 6
                         2) เปรียบเทียบคะแนนปริชาณปัญญาก่อนและหลังเข้าร่วมโปรแกรมในคลินิกผู้สูงอายุ 6 เดือน
                         3) ความรู้ของบุคลากรคลินิกผู้สูงอายุของโรงพยาบาลชุมชนหลังการอบรม

                         4) ความสำเร็จในการใช้แนวทางการส่งต่อผู้ป่วยเข้าสู่คลินิกผู้สูงอายุโรงพยาบาลขอนแก่น
                  กลุ่มตัวอย่าง คัดเลือกแบบเฉพาะเจาะจง โดยแบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม ดังนี้
                         1. พยาบาลผู้รับผิดชอบคลินิกผู้สูงอายุ โรงพยาบาลชุมชน  จำนวน 25 คน
                         2. ผู้ป่วยภาวะสมองเสื่อม คลินิกผู้สูงอายุ โรงพยาบาลขอนแก่น จำนวน 30 คน
                  การวิเคราะห์ข้อมูล 1) ใช้สถิติเชิงพรรณนา  วิเคราะห์ข้อมูลทั่วไป โดยการแจกแจงความถี่ และร้อยละ ค่าเฉลี่ย

                  และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน 2) สถิติเชิงอนุมาน วิเคราะห์โดยใช้สถิติ Paired T-test One group
                  การเก็บรวบรวมข้อมูล การศึกษารวบรวมข้อมูล ระหว่างเดือน สิงหาคม 2565 - สิงหาคม 2566

                  ผลการศึกษา
                         4.1 ผู้ป่วยภาวะสมองเสื่อมมีค่าเฉลี่ยคะแนนความสามารถในการปฏิบัติกิจวัตรประจำวันขั้นพื้นฐาน

                  มากกว่าก่อนเข้าร่วมโปรแกรมในคลินิกผู้สูงอายุอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ 0.05 (p-value<0.001)
                         4.2. คะแนนปริชานปัญญาของผู้ป่วยภาวะสมองเสื่อมภายหลังเข้าร่วมโปรแกรมมีค่าเฉลี่ยคะแนน
                  ปริชานปัญญาเต็มเพิ่มขึ้นมากที่สุดใน 3 ด้านคือ Memory,Naming, Abstraction, Orientation โดยมีการเพิ่มขึ้น
                  ของ Memory มากที่สุดที่ร้อยละ 78

                         4.3 คะแนนปริชานปัญญาของผู้ป่วยภาวะสมองเสื่อมดีขึ้นมากกว่าก่อนเข้าร่วมโปรแกรมกิจกรรมอย่างมี
                  นัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 ได้แก่ Memory, Naming, Abstraction, Orientation (p<0.001)
                         4.4 ค่าเฉลี่ยคะแนนความรู้ของบุคลากรในการดำเนินงานคลินิกผู้สูงอายุของโรงพยาบาลชุมชนหลังการ
                  อบรมดีขึ้นกว่าก่อนการพัฒนาอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05

                         4.5 ใช้แนวทางการส่งต่อจากเครือข่ายเข้าคลินิกผู้สูงอายุโรงพยาบาลขอนแก่นถูกต้องร้อยละ 90

                  อภิปรายผล
                         จากการศึกษาพบว่าผลลัพธ์ในด้านปริชานปัญญา และความสามารถในการทำกิจวัตรประจำวันของ
                  ผู้ป่วยสมองเสื่อมเพิ่มสูงขึ้นมากกว่าก่อนเข้าร่วมโปรแกรมอย่างมีนัยสำคัญ (p<0.001) ซึ่งปัจจัยที่ช่วยสนับสนุน
                  ผลการศึกษาในครั้งนี้ อาจเนื่องจากกลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่เป็นผู้สูงอายุระดับต้น (young old) ที่มีความสนใจ

                  ในการเรียนรู้ด้านสุขภาพมาก จะเห็นได้จากการที่กลุ่มตัวอย่างมีอัตราการหยุดหรือออกจากการวิจัยน้อยมาก
                  โดยคะแนนปริชานปัญญาที่เพิ่มสูงขึ้นนั้นในด้าน Memory, Abstraction, Naming, Orientation ซึ่งสอดคล้อง
                  กับผลการศึกษาของฮาสติ้งและเวสส์ ที่ศึกษาโปรแกรมการฝึกความจำในผู้สูงอายุโดยใช้ความสัมพันธ์ระหว่าง

                  การพัฒนาตนเองและการทำงานเป็นกลุ่ม โดยกลุ่มทดลองได้รับโปรแกรมเป็นเวลา 9 สัปดาห์ ผลการวิจัยพบว่า
                  สมรรถนะแห่งตนด้านความจำของกลุ่มทดลองดีกว่าก่อนได้รับโปรแกรม นอกจากนั้นยังสอดคล้องกับการศึกษาของ
                  ทาดาฮิโกะและคณะ ที่มีการศึกษารูปแบบการป้องกันภาวะสมองเสื่อมในผู้สูงอายุ โดยจะเน้นที่การฝึกฝนสมอง
                  อย่างเฉพาะเจาะจงใน Domain ของการรู้คิดและสติปัญญาที่มีปัญหาควบคู่กับการทำกิจกรรมนันทนาการ
   713   714   715   716   717   718   719   720   721   722   723