Page 576 - Best Practice Poster 2024 (อัพเดต)
P. 576
N40
3. อัตราการเกิดเชื้อยาดื้อยาที่เฝ้าระวังลดลง
ข้อมูล ปี 62 ปี 63 ปี 64 ปี 65 ปี66
(6 เดือนแรก)
เชื้อดื้อยา
- CoRO (E.coli) 0 0.11 0.21 0.1 0
- CoRo ( A.buamannii ) 0.75 0.61 0.24 5.87 8.72
- CoRo ( P.aeruginosa ) 0.00 2.91 0.71 0.75 0
- CoRO ( K.pneumonie ) 6.56 17.59 19.8 12.40 9.53
DDD: Colistin 7.97 9.02 9.52 10.2 9.79
อภิปรายผล: การศึกษาครั้งนี้เป็นการดำเนินงานแบบสหสาขาวิชาชีพที่แต่ละบุคลากรทางการทางแพทย์
ทำหน้าที่ในส่วนที่รับผิดชอบให้เกิดการเชื่อมโยงของข้อมูลในการปฏิบัติงาน ทำให้เกิดผลสัมฤทธิ์ของงาน
จากผลการศึกษาพบว่า รูปแบบการสั่งใช้ยาเป็นไปตามเกณฑ์ทั้งหมดคิดเป็นร้อยละ 100 ซึ่งมีค่าสูงกว่า
เมื่อเปรียบเทียบกับการประเมินในปี 2564 คิดเป็นร้อยละ 88 และสอดคล้องกับการศึกษาของมรกตที่พบว่า
การดำเนินการส่งเสริมและกำกับการใช้ยาต้านจุลชีพอย่างเหมาะสม (Antimicrobial Stewardship Program;
ASP) โดยมีเภสัชกรสัมพันธ์กับความเหมาะสมในการสั่งใช้ยาที่มากขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (P = 0.008)
ในด้านผลลัพธ์ของการใช้แนวทางการควบคุม กำกับติดตามการสั่งใช้ยา Colistin พบว่า ปริมาณการใช้ยาในรูป
DDD และ อัตราการเกิดเชื้อยาดื้อยาที่เฝ้าระวังลดลง เมื่อเปรียบเทียบกับผลก่อนการดำเนินงาน สอดคล้องกับ
การศึกษาของยุทธชัย และของพรรณี ที่พัฒนาระบบติดตามการใช้ยาสามารถลดปริมาณและมูลค่าการ
ใช้ยาปฏิชีวนะได้เช่นกัน
สรุปและข้อเสนอแนะ
การดำเนินงานแบบสหสาขาวิชาชีพสามารถเพิ่มประสิทธิภาพในการจัดการการดื้อยาต้านจุลชีพ
โดยอาศัยกลยุทธ์ในการส่งเสริมและกำกับการใช้ยาต้านจุลชีพอย่างเหมาะสมในรูปแบบบูรณาการ และต้องเป็น
การดำเนินงานอย่างต่อเนื่อง
ข้อจำกัดเป็นผลการศึกษาในช่วงเวลาสั้นๆ ควรมีการขยายระยะเวลาออกไปเพื่อประเมินผลลัพธ์
ที่ต่อเนื่อง และสามารถนำไปต่อยอดกับรายการยาตัวอื่นๆได้ นอกจากนี้ยังมีปัญหาด้านอัตรากำลังที่ต้อง
ปฏิบัติงานประจำเต็มเวลาอยู่แล้ว ทำให้บางครั้งต้องปฏิบัติงานนอกเวลาราชการโดยเฉพาะแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ
ด้านโรคติดเชื้อ