Page 245 - แนวทางการพัฒนาการจัดระบบบริการสุขภาพ
P. 245
คู่มือแนวทางการอบรมหลักสูตรพระคิลานุปัฏฐาก (พระอาสาสมัครส่งเสริมสุขภาพประจำวัด-อสว.)
๖. รักษาภาวะประสาทกระเพาะปัสสาวะพิการ
๗. มีแผลกดทับและไม่สามารถควบคุมการขับถ่ายได้
ในภาวะปัสสาวะราด ควบคุมการปัสสาวะไม่ได้ และมีการระคายเคืองของผิวหนัง
การดูแลผู้ป่วยที่ใส่คาสายสวนปัสสาวะ
ในผู้ป่วยบางรายมีความจำเป็นต้องคาสายสวนปัสสาวะต่อเนื่องจากโรงพยาบาลกลับไปที่บ้านการดูแล
ผู้ป่วยที่คาสายสวนปัสสาวะอย่างถูกต้องจะช่วยป้องกันการอุดตันของสายสวนปัสสาวะและป้องกันการติดเชื้อ
ในระบบทางเดินปัสสาวะ
วัตถุประสงค์
เพื่อเป็นทางให้น้ำปัสสาวะไหลได้ตลอดเวลา โดยผ่านทางท่อเล็กที่คาอยู่บริเวณกระเพาะปัสสาวะ
และท่อปัสสาวะ โดยมีลูกโป่งที่บรรจุด้วยน้ำกลั่น บริเวณคอกระเพาะปัสสาวะ เพื่อป้องกันการเลื่อนหลุดของ
สายปัสสาวะ
ขั้นตอนการดูแลผู้ป่วยที่ใส่สายสวนปัสสาวะ
๑. ดูแลให้ถุงปัสสาวะอยู่ต่ำกว่าบริเวณกระเพาะปัสสาวะของผู้ป่วยเสมอเพื่อป้องกันการไหลย้อน
ของปัสสาวะเข้าสู่กระเพาะปัสสาวะซึ่งอาจก่อให้เกิดการติดเชื้อได้ถ้าจำเป็นต้องยกถุงปัสสาวะให้สูงกว่าระดับ
กระเพาะปัสสาวะดังกล่าวจะต้องพับสายสวนปัสสาวะก่อนชั่วคราวโดยการใช้มือพับหรือใช้ยางรัดสายสวน
ปัสสาวะ แล้วรีบคลายออกเมื่อจัดวางให้อยู่ในสภาพเดิม
๒. ดูแลสายสวนปัสสาวะและถุงปัสสาวะให้เป็นระบบปิดเสมอโดยต้องไม่มีรอยแตก รั่วซึมซึ่งจะเป็น
ช่องทางนำเชื้อโรคเข้าสู่ระบบได้
๓. ดูแลสายสวนปัสสาวะไม่ให้เลื่อนเข้า - ออก หรือเกิดการดึงรั้งของสายโดยผู้หญิงยึดสายสวนปัสสาวะ
ติดกับหน้าขาด้วยพลาสเตอร์ ในผู้ชายยึดสายสวนปัสสาวะติดบนหน้าท้องเหนือหัวหน่าว และไม่ดึงสายสวน
ปัสสาวะออกเองเพราะอาจเกิดอันตรายต่อท่อปัสสาวะ
๔. ไม่ควรนั่งทับสายสวนปัสสาวะหรือนั่งทับถุงรองรับน้ำปัสสาวะ ดูแลสายสวนปัสสาวะไม่ให้เกิด
การอุดตันโดยการคลึงบริเวณสายสวนปัสสาวะและหมั่นสังเกตว่าปัสสาวะไหลลงถุงรองรับน้ำปัสสาวะได้สะดวก
๕. เทปัสสาวะออกจากถุงวันละ ๒ - ๓ ครั้งหรืออย่างน้อย ทุก ๘ ชั่วโมง
๖. ทำความสะอาดรูเปิดของท่อปัสสาวะด้วยสำลีชุบ ๗๐% แอลกอฮอล์ หรือน้ำยาฆ่าเชื้อ ๑๐%
โพวีดีก่อนและหลังการเทปัสสาวะออก
๗. ดื่มน้ำให้เพียงพอกับความต้องการของร่างกายอย่างน้อยวันละ ๘ - ๑๒ แก้วหรือปริมาณน้ำตาม
คำแนะนำของแพทย์ - พยาบาล และควรมีการเปลี่ยนอิริยาบทเสมอเพื่อป้องกันการตกตะกอนของปัสสาวะ
๘. ทำความสะอาดบริเวณอวัยวะสืบพันธ์และรูเปิดของท่อปัสสาวะทุกวันวันละ ๒ ครั้ง เช้า - เย็น ด้วยสบู่
และน้ำ ขยับสายปัสสาวะหมุนไปมาเล็กน้อยเพื่อให้ปลายสายไม่อุดตัน
๙. สามารถอาบน้ำทำความสะอาดได้ตามปกติและไม่ควรโรยแป้งบริเวณอวัยวะสืบพันธ์ุ
๑๐. บันทึกจำนวนปัสสาวะในแต่ละวันเพื่อดูปริมาณของปัสสาวะ และสังเกตหากมีอาการผิดปกติ เช่น
ปัสสาวะแดง มีหนอง ขุ่นเป็นตะกอน ปวดท้อง ปัสสาวะมีกลิ่นเหม็นปวดแสบร้อนบริเวณท่อปัสสาวะ หนาวสั่น มีไข้
ควรรีบปรึกษาแพทย์
๑๑. ควรเปลี่ยนสายสวนปัสสาวะทุก ๔ สัปดาห์ หรือเร็วกว่านี้ในรายที่มีการอุดตันหรือเกิดความ
ผิดปกติโดยไปพบแพทย์เมื่อมีอาการผิดปกติดังกล่าว
๑๖๙