Page 240 - Best practice_Oral2024 (อัพเดต)
P. 240
F26
2. เพื่อประเมินความชุกของภาวะโลหิตจางในหญิงตั้งครรภ์
วิธีการศึกษา
ระเบียบวิธีวิจัย ศึกษาแบบ Retrospective cohort study ประชากร คือหญิงตั้งครรภ์ที่ฝากครรภ์
และคลอดในโรงพยาบาลโกสุมพิสัย ระหว่าง 1 ตุลาคม 2564 ถึง 30 กันยายน 2565 จำนวน 188 ราย
เครื่องมือที่ใช้ในการศึกษา
คือ ข้อมูลทั่วไปของหญิงตั้งครรภ์ได้แก่อายุ อาชีพ การศึกษา ครั้งที่ตั้งครรภ์ ผลเลือด คุณภาพการฝากครรภ์
และภาวะแทรกซ้อนของการตั้งครรภ์ได้แก่ ค่า hematocrit ขณะตั้งครรภ์และวันมาคลอด
ขั้นดำเนินการวิจัย
ระยะที่ 1 วางแผน
1) วิเคราะห์สถานการณ์ภาวะภาวะโลหิตจางในหญิงตั้งครรภ์
2) ตั้งทีมพัฒนาแนวทางการป้องกันและแก้ไขภาวะโลหิตจางในหญิงตั้งครรภ์ เพื่อเป็นแกนหลัก
ในการปรับปรุงแนวทาง ได้แก่ (1) เจ้าหน้าที่พยาบาลห้องคลอด จำนวน 2 คน (2) เจ้าหน้าที่พยาบาลห้องฝากครรภ์
จำนวน 3 คน
ระยะที่ 2 ดำเนินการ
1) พัฒนาบุคลากรให้มีความรู้เรื่องภาวะโลหิตจางในหญิงตั้งครรภ์
2) นำแนวทางการเฝ้าระวังและดูแลภาวะโลหิตจางในหญิงตั้งครรภ์ จากคู่มือ แนวทางการดำเนินงาน
อนามัยแม่และเด็กเขตสุขภาพที่ 7 มาพัฒนาให้เข้ากับบริบทของโรงพยาบาลโกสุมพิสัย และใช้แนวทาง
3) ให้หญิงตั้งครรภ์ทุกรายที่มาฝากครรภ์ที่โรงพยาบาลโกสุมพิสัยเข้าโรงเรียนพ่อแม่ อย่างน้อย 2 ครั้ง
4) มีการให้ความรู้มารดาที่มีภาวะโลหิตจางตัวต่อตัว
5) มีการโทรติดตามหญิงตั้งครรภ์ให้เข้ามารับบริการเมื่อหญิงตั้งครรภ์ไม่มาตรวจตามนัด
6) มีการลงบัญชีหญิงตั้งครรภ์ที่มีภาวะโลหิตจางทุกคนใน google drive
ระยะที่ 3 วิจัยเพื่อเปรียบเทียบภาวะโลหิตจางขณะตั้งครรภ์และวันมาคลอดของหญิงตั้งครรภ์ และ
ประเมินความชุกของภาวะโลหิตจางในหญิงตั้งครรภ์
การวิเคราะห์ข้อมูล วิเคราะห์ข้อมูลความชุกของภาวะโลหิตจางในหญิงตั้งครรภ์ด้วยค่าร้อยละค่าเฉลี่ย
Chi-square test และเปรียบเทียบภาวะโลหิตจางขณะฝากครรภ์และวันมาคลอดของหญิงตั้งครรภ์ด้วย
Chi-square test
ผลการศึกษา
พบว่าขณะฝากครรภ์หญิงตั้งครรภ์มีภาวะโลหิตจางมากที่สุด คือ ช่วงอายุน้อยกว่า 20 ปี (53.3%)
รองลงมาช่วงอายุ 20-34 ปี (44.1%) และมากกว่า 35 ปี (33.3%) ตามลำดับ พบในการตั้งครรภ์ครั้งที่ 3
มากที่สุด (61%) รองลงมาคือการตั้งครรภ์ครั้งที่ 4 (57.1%) และ 5 (50%) ตามลำดับ พบในมารดาที่จบมัธยมต้น
มากที่สุด (52.2%) รองลงมาคือจบมัธยมปลาย (47.2%) และประถม (44.4%) ตามลำดับ พบในอาชีพนักเรียน
นักศึกษามากที่สุด (66.7%) รองลงมาคือเกษตรกร (60%) และแม่บ้าน (49%) ตามลำดับ
พบว่าหญิงตั้งครรภ์ที่มีผล MCV < 80 fL มีภาวะโลหิตจางมากกว่าหญิงตั้งครรภ์มีผล MCV ≥80 fL
อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p<.01) พบว่าหญิงตั้งครรภ์ที่มีค่าDCIP positive มีภาวะโลหิตจางมากกว่าหญิงตั้งครรภ์
ที่มีค่า DCIP negativeอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p<.01) และพบว่าหญิงตั้งครรภ์ที่ฝากครรภ์ครบคุณภาพ
มีภาวะโลหิตจางน้อยกว่าหญิงตั้งครรภ์ที่ฝากครรภ์ไม่ครบคุณภาพอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p<.05)
เมื่อเปรียบเทียบภาวะโลหิตจางของหญิงตั้งครรภ์ขณะฝากครรภ์และวันมาคลอดพบว่าหญิงตั้งครรภ์
วันมาคลอดมีภาวะโลหิตจางลดลงเมื่อเทียบกับขณะฝากครรภ์อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p<.01)
สรุปผลและข้อเสนอแนะ