Page 419 - Best practice_Oral2024 (อัพเดต)
P. 419
K52
ผลการศึกษา
ผลผลิตจากการดำเนินการประกอบด้วย 1) ผู้ป่วยโรคเรื้อรังมีความรู้เกี่ยวกับยาของตนเอง ≥ ร้อยละ
80 โดยจากผลการดำเนินงานพบว่าเพิ่มขึ้นจากร้อยละ 36.50 ในปี 2560 เป็นร้อยละ 89.60, 91.21, 90.10,
89.52, และ 91.13 ในปี 2561-2565 ตามลำดับ 2) มีนวัตกรรมหรือเครื่องมือช่วยในการรับประทานยาอย่าง
น้อย 1 นวัตกรรม โดยจากผลการดำเนินงานพบว่าในปี 2560 ไม่มีนวัตกรรม ในปี 2561 มีนวัตกรรม 1
นวัตกรรม คือ ตราปั้มยางรูปทรงต่าง ๆ คล้ายเม็ดยา และในปี 2562 มีนวัตกรรม 1 นวัตกรรม คือ ซองยา
รูปภาพ และในปี 2563-2565 ได้มีการใช้นวัตกรรมที่พัฒนาขึ้นจนมาถึงปัจจุบันอย่างยั่งยืน 3) ผู้ป่วยโรคเรื้อรัง
มีความรอบรู้ด้านสุขภาพระดับสูง ≥ ร้อยละ 80 โดยจากผลการดำเนินงานพบว่าเพิ่มขึ้นจากร้อยละ 38.22 ใน
ปี 2560 เป็นร้อยละ 83.10, 85.18, 85.05, 83.23 และ 84.32 ในปี 2561-2565 ตามลำดับ 4) อัตราผู้ป่วย
โรคเรื้อรังมาตรวจตามนัด ≥ ร้อยละ 90 โดยจากผลการดำเนินงานพบว่าเพิ่มขึ้นจากร้อยละ 66.67 ในปี 2560
เป็นร้อยละ 93.33, 94.89, 93.15, 92.32 และ 93.40 ในปี 2561-2565 ตามลำดับ และในส่วนของผลลัพธ์
ของการพัฒนาผลงาน คือ ความร่วมมือในการใช้ยา (adherence) ของผู้ป่วยโรคเรื้อรังเพิ่มขึ้นจากร้อยละ
25.85 ในปี 2560 เป็นร้อยละ 94.22, 96.87, 95.37, 94.48, 96.33 ในปี 2561-2565 ตามลำดับ โดยจะเห็น
ได้ว่าผลลัพธ์จากการดำเนินการผลงานดีขึ้นกว่าก่อนพัฒนาอย่างก้าวกระโดด จากผลผลิตส่งผลให้ผลลัพธ์บรรลุ
ตามวัตถุประสงค์ที่ได้กำหนดไว้เป็นอย่างมาก
อภิปรายผล
ผลจากการพัฒนาผลงานมีผลลัพธ์ที่สะท้อนผลกระทบเชิงบวกและเกิดประโยชน์ต่อสังคมหรือประเทศ
คือ ในด้านสาธารณสุขพบว่าผู้ป่วยมีความร่วมมือในการใช้ยามากถึงร้อยละ 96.87 ในปี 2562 และยังบรรลุ
เป้าหมายจนถึงปัจจุบัน ทำให้ผู้ป่วยโรคเรื้อรังสามารถคุมโรคให้อยู่ในเป้าหมายของการรักษาได้มากขึ้น เช่น
ผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูงสามารถควบคุมความดันโลหิตให้อยู่ในเป้าหมายเพิ่มขึ้นจากร้อยละ 11.22
ในปี 2560 เป็นร้อยละ 53.42 ในปี 2562 ผู้ป่วยเบาหวานสามารถควบคุมน้ำตาลในเลือดได้ตามเป้าหมาย
เพิ่มขึ้นจากร้อยละ 19.02 ในปี 2560 เป็นร้อยละ 50.21 ในปี 2562 ผู้ป่วยโรคหัวใจสามารถควบคุมค่า
การแข็งตัวของเลือดให้อยู่ในช่วงของการรักษาเพิ่มขึ้นจากร้อยละ 30.50 เป็นร้อยละ 85.67 พบผู้ป่วยพิการ
และทุพลภาพลดลงจาก 111 ราย ในปี 2560 เป็น 33 รายในปี 2562 เป็นต้น ส่วนในด้านสังคมและเศรษฐกิจ
พบว่าการขาดงานและสูญเสียรายได้ลดลงทั้งผู้ป่วยและญาติผู้ดูแล เสียค่าใช้จ่ายลดลงในการรักษาพยาบาล
จากการควบคุมโรคไม่ได้ตามเป้าหมาย และในปี 2562 สามารถลดมูลค่าสูญเปล่าด้านยาจากยาเหลือใช้ของ
ผู้ป่วยที่ขาดความร่วมมือในการใช้ยาได้ถึง 480,952 บาท
สรุปและข้อเสนอแนะ
ปัจจัยแห่งความสำเร็จที่มีผลอย่างมาก คือการมีนวัตกรรมช่วยในการรับประทานยาซึ่งมีประโยชน์
ต่อผู้ป่วยอย่างมาก และการพัฒนาผลงานในบริบทที่กลุ่มเป้าหมายไม่เข้าใจภาษาไทย อ่านหนังสือไม่ได้
ผู้สูงอายุ จำเป็นต้องมีการศึกษาพื้นที่และใช้นวัตกรรมช่วยให้เข้าใจมากขึ้น โดยมีการขยายผล 1) ปี 2562
ขยายผลนวัตกรรมตราปั้มรูปทรงคล้ายเม็ดยาต่าง ๆ ไปใช้งานใน รพ.สต. จำนวน 16 รพ.สต. ได้รับรางวัล
ชนะเลิศผลงานเด่นระดับภาคใต้ และรองชนะเลิศอันดับที่ 1 ระดับประเทศ ได้รับเชิญออกบูทนำเสนอผลงาน
เด่นระดับประเทศ 2) ปี 2563 ได้รับรางวัลรองชนะเลิศอันดับที่ 1 (NCD Clinic Plus ระดับเขตบริการ
สุขภาพที่ 12) ได้รับการนำเสนอ Sharing Best Practice ในงานประชุมการเพิ่มมูลค่างานเภสัชกรรมในพื้นที่
จังหวัดชายแดนภาคใต้ ได้ขยายผลการใช้นวัตกรรมช่วยในการรับประทานยาไปยังโรงพยาบาลชุมชนทุกแห่ง
ในจังหวัดยะลา ได้รับการศึกษาดูงานจากโรงพยาบาล 36 โรงพยาบาล 3) ปี 2565 ได้รับคัดเลือกนำเสนอ
ผลงานเด่น ณ งานมหกรรมวิชาการกระทรวงสาธารณสุข ได้รับรางวัลรองชนะเลิศอันดับที่ 1
ณ งานประชุมวิชาการโรงพยาบาลธรรมศาสตร์เฉลิมพระเกียรติ 4) ปี 2566 ได้รับรางวัลเลิศรัฐ ระดับดี และ
คัดเลือกนำเสนอผลงานวิชาการงานประชุม HA Forum