Page 97 - Best practice_Oral2024 (อัพเดต)
P. 97

B27



                       สัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์แบบสเปียร์แมน (Spearman rank correlation coefficient) ใช้สำหรับหา
               ความสัมพันธ์ระหว่าง NAF การวัดองค์ประกอบและสัดส่วนของร่างกาย ผลเลือด เช่น ระดับอัลบูมิน ระดับค่า
               ความเข้มข้นเลือด และระดับของเม็ดเลือดขาวลิมโฟไซต์
                       การวิเคราะห์การถดถอยโลจีสติก (Logistic Regression Analysis) เพื่อแสดงการคำนวณความเสี่ยง
               (Odds ratio : OR) สำหรับอายุ เพศ ประเภทของมะเร็ง ประเภทของอาหาร ระยะของมะเร็ง และ สมรรถภาพ

               ของร่างกาย ECOG โดยการทดสอบทั้งหมดเป็นแบบสองด้าน และ p < 0.05 ถือว่ามีนัยสำคัญทางสถิติ

               ผลการศึกษา
                       ในผู้ป่วย 272 ราย มีค่ามัธยฐาน 59 ปี (IQR 51-67) และค่ามัธยฐาน BMI อยู่ที่ 21.7 กิโลกรัม/ตาราง
               เมตร (IQR 19.2 - 24.8) ความชุกของภาวะทุพโภชนาการปานกลางและรุนแรงตาม NAF อยู่ที่ร้อยละ 43.8
               และ 11.8 ตามลำดับ มะเร็งที่พบบ่อยที่สุดในผู้ป่วยที่ขาดสารอาหาร ได้แก่ มะเร็งลำไส้ใหญ่ร้อยละ 30 มะเร็ง

               ศีรษะและคอร้อยละ 28.5 และมะเร็งเต้านมร้อยละ 18% ผู้ป่วยที่มีภาวะทุพโภชนาการมีน้ำหนักลดลงอย่างมี
               นัยสำคัญเมื่อเทียบกับผู้ป่วยที่ไม่มีภาวะทุพโภชนาการ (นำ้หนักที่ลดลง เป็นร้อยละ12.77 เทียบกับร้อยละ

               2.13, p<0.001) จากการศึกษานี้มีความสัมพันธ์สูงระหว่าง NAF-BMI และ NAF-ALB (ρ = 0.96, p <0.05)
               และ NAF-TLC (ρ = 0.91, p <0.05) ปัจจัยที่มีนัยสำคัญที่เกี่ยวข้องกับภาวะทุพโภชนาการ ได้แก่ เพศชาย
               ชนิดมะเร็งศีรษะและคอ การรักษาด้วยรังสีบำบัด และการให้ยาเคมีบำบัดร่วมกับการฉายรังสี รวมถึง
               สมรรถภาพทางร่างกายระดับ2 (ECOG 2) (โดย odds ratio [OR] 95%CI 1.65 (1.17, 2.35), OR 4.78

               (2.08, 11.56), 3.40 (1.20, 12.19), 4.00 (1.26, 17.72)  และ4.19 (1.43, 14.13)) ตามลำดับ

               อภิปรายผล
                       การศึกษาครั้งนี้พบว่ามีความชุกของภาวะทุพโภชนาการสูง ในผู้ป่วยโรคมะเร็งในแผนกผู้ป่วยนอกของ
               ศูนย์มะเร็งโรงพยาบาลขอนแก่น โดยสามารถตรวจพบได้ว่าผู้ป่วยที่มีภาวะทุพโภชนาการปานกลางคิดเป็นร้อย
               ละ 43.7 และภาวะทุพโภชนาการขั้นรุนแรงคิดเป็นร้อยละ 11.8 ดังนั้นพบว่าความชุกของภาวะทุพโภชนาการ

               โดยรวมจากการศึกษานี้มากกว่าร้อยละ 50 โดยข้อมูลก่อนหน้านี้ส่วนใหญ่รายงานเกี่ยวกับผู้ป่วยมะเร็งที่เข้ารับ
               การรักษาในโรงพยาบาล แต่ในปัจจุบัน มีผู้ป่วยโรคมะเร็งจำนวนมากขึ้นที่ได้รับการรักษามะเร็งแบบผู้ป่วยนอก
               (เคมีบำบัด รังสีรักษา การใช้ยามุงเป้า ภูมิคุ้มกันบำบัด) ในการศึกษาของเราจึงนำเสนอความชุกของภาวะทุพ

               โภชนาการในแผนกผู้ป่วยนอกโดยใช้เครื่องมือ NAF ดังนั้น NAF จึงเป็นเครื่องมือประเมินภาวะโภชนาการที่
               ผ่านการตรวจสอบซึ่งสามารถใช้ในผู้ป่วยนอกได้ นอกจากนี้ปัจจัยบางประการ เช่น ผู้ป่วยชาย มะเร็งศีรษะและ
               คอ ค่าดัชนีมวลกายต่ำ จำนวนเม็ดเลือดขาวลิมโฟไซต์ต่ำ ระดับอัลบูมินต่ำ สมรรถภาพร่างกาย ECOG 2 หรือ
               การรักษาด้วยรังสีบำบัด และการให้ยาเคมีบำบัดร่วมกับการฉายรังสี สัมพันธ์กับภาวะทุพโภชนาการอย่างมี

               นัยสำคัญทางสถิติอีกด้วย
                       ผู้ป่วยโรคมะเร็งมีความเสี่ยงสูงต่อภาวะทุพโภชนาการ ซึ่งเกิดจากกลไกหลายประการ ส่วนใหญ่มา
               จากการรับประทานอาหารไม่เพียงพอ เบื่ออาหาร การทำงานของระบบทางเดินอาหารบกพร่อง ผลข้างเคียง
               จากการรักษา การใช้พลังงานที่เพิ่มขึ้น และการอักเสบจากสภาพแวดล้อมจุลภาคของเนื้องอก ภาวะทุพ

               โภชนาการสามารถส่งผลกระทบต่อผลลัพธ์การรักษาโดยรวม เช่น ลดอัตราการตอบสนอง เพิ่มอัตราการกำเริบ
               และอัตราการรอดชีวิตที่น้อยกว่าผู้ที่ไม่มีภาวะทุพโภชนาการ เนื่องจากผู้ป่วยที่ขาดสารอาหารมีแนวโน้มที่จะ
               เพิ่มอุบัติการณ์ของผลข้างเคียงที่เกี่ยวข้องกับการรักษา เพิ่มภาวะแทรกซ้อนของการรักษา ลดความทนทานต่อ
               การรักษา และส่งผลให้ต้องมีการพักการรักษาหรือการยุติการรักษา การศึกษาก่อนหน้านี้แสดงให้เห็นว่าภาวะ

               ทุพโภชนาการเพิ่มอัตราการเสียชีวิตและภาวะแทรกซ้อนหลังการผ่าตัด ยิ่งไปกว่านั้น ยังเกี่ยวข้องกับการต้อง
   92   93   94   95   96   97   98   99   100   101   102