Page 364 - Best Practice Poster 2024 (อัพเดต)
P. 364
I24
มีความแตกต่าง โดยคะแนนเฉลี่ยพฤติกรรมหลังเข้าโปรแกรมปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพ สูงกว่าก่อน
เข้าโปรแกรมปรับเปลี่ยนพฤติกรรม ; ด้านพฤติกรรมการดูแลตนเองเพื่อชะลอไตเสื่อมของผู้ป่วยโรคเบาหวาน
14
ชนิดไม่พึ่งอินซูลินที่มีภาวะไตเสื่อมของกลุ่มทดลองหลังการทดลองสูงกว่าก่อนทดลองและสูงกว่ากลุ่มควบคุม ;
15
ทักษะการดูแลตนเองเพิ่มขึ้น ; พฤติกรรมการดูแลสุขภาพตนเองมีคะแนนการดูแลตนเองก่อนการได้รับ
16
โปรแกรมอยู่ในระดับไม่ดี ร้อยละ 63.0 หลังการได้รับโปรแกรมมีคะแนนพฤติกรรมการดูแลสุขภาพตนเองอยู่
15
17
ในระดับดี ร้อยละ 92.0 ; ค่าระดับน้ำตาลสะสมในเลือด (HbA1c) ภายหลังการทดลองต่ำกว่าก่อนทดลอง ;
ค่าเฉลี่ยของระดับน้ำตาลในเลือดก่อนการให้คำปรึกษาเท่ากับ 159.64 มล.% และค่าเฉลี่ยของระดับน้ำตาลใน
เลือดหลังการให้คำปรึกษาเท่ากับ 154.08 มล.% พบว่าระดับน้ำตาลในเลือดหลังการให้คำปรึกษาลดลง ;
18
อัตราการกรองของไตดีกว่ากลุ่มเปรียบเทียบ 10-11 ; อัตราการกรองของไตดีขึ้น จำนวน 28 ราย คิดเป็นร้อยละ
13
12
93.0 ; อัตราการกรองของไตเพิ่มขึ้น ; ผู้ที่มีระดับอัตราการกรองของไตลดลงมีระดับอัตราการกรองของไต
16
17
เพิ่มขึ้นหลังเข้าโปรแกรม ; กลุ่มตัวอย่างมีการทำงานของไต eGFR เพิ่มขึ้นในทางที่ดี ; และหลังจากใช้
19
รูปแบบพบว่าในเดือนที่ 3 และ 6 ผู้ป่วยในกลุ่มทดลองมีอัตราการกรองของไตลดลง ; น้ำตาลในเลือดหลังอด
อาหาร 8 ชั่วโมงต่ำกว่าก่อนการทดลอง ; ภายหลังการทดลองกลุ่มทดลองมีค่าระดับน้ำตาลในเลือด (FBS)
13
ต่ำกว่าก่อนทดลอง ; ฮีโมโกลบินเอวันซี ซีรั่มครีเอตินิน ต่ำกว่าก่อนการทดลอง ; กลุ่มตัวอย่างมีระดับค่าเฉลี่ย
15
13
16
ซีรั่มครีเอตินินลดลง
การที่ผลการวิจัยปรากฏเช่นนี้อาจเนื่องมาจากการพัฒนาโปรแกรมการจัดการตนเองเพื่อชะลอไต
เสื่อมระยะที่ 3-4 ครั้งนี้ผู้วิจัยได้เน้นการสะท้อนปัญหาพฤติกรรมการชะลอไตเสื่อมของผู้ป่วยโดยการสร้าง
สัมพันธภาพเพื่อให้ผู้ป่วยเกิดความไว้วางใจ รวมทั้งกระตุ้นและเปิดโอกาสให้ผู้ป่วยบอกปัญหาที่แท้จริง
ซึ่งผู้วิจัยจะใช้ข้อมูลพื้นฐานที่ได้จากการประเมินพฤติกรรมการชะลอไตเสื่อมในครั้งแรก เพื่อเจาะลึกลงไป
ในแต่ละปัญหาของผู้ป่วย ซึ่งแต่ละรายก็จะมีปัญหาที่แตกต่างออกไปจะทำให้ผู้วิจัยทราบปัญหาที่แท้จริง
ของผู้ป่วย รวมถึงการวางแผนในการส่งเสริมทักษะในการจัดการตนเองให้เหมาะสมกับกลุ่มตัวอย่างแต่ละราย
พร้อมทั้งแสดงความปรารถนาดีที่จะช่วยและร่วมมือกับผู้ป่วยให้สามารถควบคุมปัจจัยต่างๆ ที่ส่งผลให้ไตเสื่อม
และเน้นการเตรียมความพร้อมเป็นรายบุคคล เพื่อส่งเสริมทักษะการจัดการตนเอง เช่นเดียวกับการทบทวน
วรรณกรรมพบว่าความรู้เกี่ยวกับโรคไตเรื้อรังเป็นสิ่งที่ผู้ป่วยต้องรับรู้และทำความเข้าใจเพื่อให้ข้อมูลดังกล่าว
เป็นส่วนประกอบสำหรับการแสดงพฤติกรรมหรือการปฏิบัติตนให้เหมาะสมกับโรคโดยความรู้เกี่ยวกับโรคใน
ด้านต่างๆ เป็นปัจจัยที่สำคัญส่งผลต่อพฤติกรรมการดูแลสุขภาพและการจัดการตนเองจะสำเร็จได้นั้น
ผู้ป่วยต้องมีความรู้เกี่ยวกับอาการของโรค การปฏิบัติตัวและการรักษา เพื่อช่วยตัดสินใจในการดูแลตนเอง
นอกจากนี้พบว่า พฤติกรรมการดูแลตนเองซึ่งเป็นการปฏิบัติเพื่อดูแลสุขภาพของผู้ป่วยร่วมกับทีม
สุขภาพในผู้ป่วยโรคไตเรื้อรังจะได้รับการรักษาที่เน้นการดูแลตนเองเป็นสำคัญ สามารถจัดการตนเอง
เพื่อเกิดผลลัพธ์ที่ดีและชะลอการเกิดไตเรื้อรังระยะสุดท้ายได้ จากแนวคิดการจัดการตนเองมีพื้นฐานมาจาก
กระบวนการคิด การตัดสินใจ และการเรียนรู้ทางสังคม ในทำนองเดียวกันแนวคิดการจัดการตนเองของ Lorig
และ Holman กล่าวถึงการที่บุคคลเลือกแนวทางในการปรับมุมมองและทักษะที่สามารถนำไปประยุกต์ใช้
20
เพื่อแก้ปัญหาและปฏิบัติพฤติกรรมใหม่ รวมถึงรักษาความมั่นคงทางอารมณ์ประกอบด้วย การจัดการทาง
การแพทย์หรือปฏิบัติตามแผนการรักษา การจัดการเกี่ยวกับบทบาทที่ดำรงอยู่ในชีวิตประจำวันและการจัดการ
ด้านอารมณ์ ซึ่งบุคคลจะมีการจัดการตนเองที่ดีได้นอกจากจะต้องมีความรู้ที่ดีแล้วยังต้องได้รับการสนับสนุน
ทางสังคมที่ดี ดังนั้นการจัดการตนเองเป็นความรับผิดชอบในการปฏิบัติกิจกรรมของผู้ป่วยในการจัดการกับโรค
และการรักษาตนเอง เพื่อป้องกันการเกิดภาวะแทรกซ้อน ส่งเสริมสุขภาพ และหาแนวทางแก้ไขปัญหาร่วมกัน