Page 361 - Best Practice Poster 2024 (อัพเดต)
P. 361
I21
ผลของโปรแกรมการจัดการตนเองเพื่อชะลอไตเสื่อมระยะที่ 3-4 ต่อพฤติกรรม
และผลลัพธ์ทางคลินิกของผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 โรงพยาบาลธวัชบุรี
(Effects of Self-management Program for Slowing Progression of Chronic Kidney
Disease Stage 3-4 Dysfunction on Behaviors and Clinical Outcomes in Patients
with Type 2 Diabetes Mellitus, Thawatchaburi Hospital)
นางปพิชญา สิงห์ชา
โรงพยาบาลธวัชบุรี จังหวัดร้อยเอ็ด เขตสุขภาพที่ 7
ประเภทวิชาการ
ความสำคัญของปัญหา
ปัญหาโรคไตเรื้อรังเป็นปัญหาสาธารณสุขที่สำคัญพบได้ทั่วโลกรวมทั้งประเทศไทยอุบัติการณ์
พบสูงขึ้นทั่วโลก อยู่ระหว่างร้อยละ 3.2-7.6 ต่อปี แตกต่างไปแต่ละประเทศ และเป็นปัญหาสำคัญ
ของประชากรไทยพบร้อยละ 17.5 (8.5 ล้านคน) จากการศึกษาของ Thai SEEK Study สมาคมโรคไต
แห่งประเทศไทย พบความชุกของโรคไตเรื้อรังได้ 17.5% และจากการสำรวจพบว่า 4.6-17.59 ของประชาชน
ไทยมีโรคไตเรื้อรัง แนวโน้มความทุกข์ของผู้ป่วยที่รักษาบำบัดทดแทนไต (Renal Replacement Therapy,
RRT) เพิ่มขึ้นปีละ 15-20% สาเหตุสำคัญ คือโรคเบาหวานและความดันโลหิตสูง โรคไตเรื้อรังแบ่งออกเป็น
1
5 ระยะ ระยะแรกของโรคไตเรื้อรังมักไม่พบอาการผิดปกติเกิดขึ้น ทำให้ผู้ป่วยส่วนใหญ่ไม่ทราบและ
มักตรวจพบเมื่อมีการดำเนินของโรคมากแล้ว เมื่อดำเนินของโรคเข้าสู่ระยะสุดท้าย (End Stage Renal
Disease; ESRD) ผู้ป่วยจำเป็นต้องได้รับการรักษาโดยการบำบัดทดแทนไต เช่น การฟอกเลือดด้วยเครื่องไต
เทียม การล้างไตทางช่องท้องแบบต่อเนื่อง และการผ่าตัดปลูกถ่ายไต ซึ่งไม่ว่าจะเป็นการรักษาโดยวิธีใด
จะส่งผลทำให้คุณภาพชีวิตของผู้ป่วยลดลง รวมถึงค่าใช้จ่ายที่ใช้ในการรักษาเพิ่มขึ้น ดังนั้นเป้าหมายที่สำคัญ
2
ในการรักษาโรคไตเรื้อรัง คือการป้องกันการเสื่อมของไต ไม่ให้เข้าสู่ไตเรื้อรังระยะสุดท้าย
จากสถิติผู้ป่วยไตเรื้อรังที่มารับบริการในโรงพยาบาลธวัชบุรีปี พ.ศ.2563-2565 พบว่า มีจำนวน
2,428, 2,385, 2,570 ราย ตามลำดับ และพบผู้ป่วยมากที่สุดระยะที่ 3 โดยในปี พ.ศ.2563-2565 มีทั้งสิ้น 536
ราย (35.58 %) จำนวน 524 ราย (34.68%) จำนวน 264 ราย (34.97%) และยังพบว่าผู้ป่วยระยะที่ 4
และระยะสุดท้าย ปี พ.ศ.2563-2565 จำนวน 143 ราย (22.08%), 113 ราย (5.89%) จำนวน 133 ราย
(21.97%) ,101ราย (5.58%) และจำนวน 136 ราย (18.01%), 109 ราย (14.44%) ตามลำดับ ซึ่งพบว่าผู้ป่วย
ไตเรื้อรังระยะที่ 3-4 เปลี่ยนเป็นผู้ป่วยระยะสุดท้ายยังคงสูงขึ้น ถ้าเทียบกับผู้ป่วยทั้งหมด และยังพบว่าผู้ป่วย
สามารถชะลอไตเสื่อมโดยประเมินจากการที่ผู้ป่วยมี eGFR ลดลง < 4 มล/ นาที/ 1.73 ตร.ม ปีพ.ศ.2565
3
คิดเป็นร้อยละ 63.92 ซึ่งยังต่ำกว่าเกณฑ์ที่กระทรวงกำหนดเป็นร้อยละ 66.0 มีการศึกษาพบว่าการดูแลตนเอง
ที่ถูกต้องเหมาะสมของผู้ป่วยโรคไตเรื้อรังระยะ 3 และ 4 สามารถชะลอความเสื่อมของไตได้นานถึง 7-14 ปี
วิธีการดูแลผู้ป่วยโรคไตเรื้อรังให้มีคุณภาพชีวิตที่ดี คือการชะลอความเสื่อมของไตและคงไว้ซึ่งการทำงานของไต
ให้ยาวนานที่สุดตั้งแต่ระยะเริ่มต้น โดยมีสิ่งสนับสนุนและส่งเสริมให้ผู้ป่วยจัดการตนเองในการชะลอไตเสื่อม
ปรับแบบแผนการดำเนินชีวิต การควบคุมอาหาร ควบคุมความดันโลหิต การรับประทานยาตามแบบแผน
4
การรักษาของแพทย์ และการเฝ้าระวังอาการหรือภาวะแทรกซ้อนที่จะเกิดขึ้น