Page 229 - Best practice_Oral2024 (อัพเดต)
P. 229
F15
ผลการศึกษา
ข้อมูลทั่วไป แบ่งเป็นกลุ่มทดลอง 22 คน กลุ่มควบคุม 22 คน มีอายุอยู่ในช่วง 26 - 30 ปี คิดเป็นร้อยละ 34.1
จบการศึกษาระดับปวช.และปวส. คิดเป็นร้อยละ 47.8 ประกอบอาชีพแม่บ้านคิดเป็น ร้อยละ 27.3 มีรายได้
ต่ำกว่า 10,000 บาท/เดือน คิดเป็นร้อยละ 52.27 ค่าดัชนีมวลกายก่อนตั้งครรภ์อยู่ในช่วง 25 – 29.9 คิดเป็น
ร้อยละ 59.09 ภายหลังการทดลอง กลุ่มทดลอง มีค่าระดับน้ำตาลในเลือดหลังงดอาหาร 8 ชั่วโมง (mg/dl)
ระยะหลังคลอด 6 สัปดาห์เท่ากับ 88.86 ± 26.46 ลดลงอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p < .001) และคะแนน
ความรู้เท่ากับ 7.5 ± 0.74 เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p < .001) กลุ่มควบคุม มีค่าระดับน้ำตาล
ในเลือดหลังงดอาหาร 8 ชั่วโมง (mg/dl) ระยะหลังคลอด 6 สัปดาห์เท่ากับ 100 ± 21.17 ลดลงอย่าง
ไม่มีนัยสำคัญทางสถิติ (p > .001) และคะแนนความรู้เท่ากับ 5.18 ± 1.01 เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ
(p < .001) กลุ่มทดลองมีคะแนนเฉลี่ยพฤติกรรมสุขภาพด้านการรับประทานอาหาร การออกกำลังกาย การควบคุม
อารมณ์ และการรักษา สูงกว่ากลุ่มควบคุมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p < 0.001) ค่าเฉลี่ยความพึงพอใจ
ของกลุ่มทดลองเท่ากับ 3.98 ค่าเฉลี่ยความพึงพอใจของกลุ่มควบคุมเท่ากับ 3.39 พบว่าแตกต่างกันโดยกลุ่มทดลอง
มีค่าเฉลี่ยความพึงพอใจสูงกว่ากลุ่มควบคุม
อภิปรายผล
รูปแบบการปฏิบัติการพยาบาล โดยการใช้กระบวนการมีส่วนร่วมระหว่างพยาบาลและสตรีหลังคลอด
ที่มีภาวะเบาหวานขณะตั้งครรภ์ การใช้วิธีเสริมพลังและการทบทวนความรู้อย่างต่อเนื่อง ส่งเสริมให้สตรี
หลังคลอดเหล่านี้ มีความรู้เกี่ยวกับโรคเบาหวาน เกิดการรับรู้ความสามารถในตนเอง และเกิดการปรับเปลี่ยน
พฤติกรรมสุขภาพได้ สอดคล้องกับการศึกษาของ (สมพร กิจสุวรรณรัตน์, ถาวร ล่อกา, 2561) ศึกษาการพัฒนา
รูปแบบการดูแลผู้ป่วยเบาหวานจังหวัดลำปาง พบว่าภายหลังการใช้รูปแบบ ผู้ป่วยเบาหวานมีการจัดการตนเอง
ด้านอาหาร ออกกำลังกาย อารมณ์และยา สูงกว่าก่อนการใช้รูปแบบ และค่าเฉลี่ยระดับน้ำตาลในเลือด
หลังการใช้รูปแบบลดลงกว่าก่อนการใช้รูปแบบ สอดคล้องกับการศึกษาของ (สุธี เชิดชูตระกูลศักดิ,นิรัชรา ลิลละฮ์กุล
และเจษฎากร โนอินทร, 2565) ศึกษาการพัฒนารูปแบบการจัดบริการผู้ป่วยโรคเบาหวานเครือข่ายสุขภาพ
อำเภอสามง่าม จังหวัดพิจิตร พบว่าการให้บริการที่เป็นบริการเชิงรุก เช่นการเยี่ยมบ้าน การให้ความรู้
อย่างสม่ำเสมอ เป็นการเสริมสร้างพลังให้กับผู้ป่วย ผู้ป่วยรู้สึกว่าได้รับการใส่ใจ รู้สึกมีคุณค่า ส่งผลให้มีพลัง
ในการดูแลสุขภาพได้ดียิ่งขึ้น
สรุปและข้อเสนอแนะ
ในการวิจัยครั้งนี้พบว่าสตรีหลังคลอดที่มีภาวะเบาหวานขณะตั้งครรภ์อยู่ในเกณฑ์ยุติการเข้าร่วมงาน
วิจัยเนื่องจากการขาดนัดในระยะหลังคลอด 6 สัปดาห์จากความสะดวกของการเข้าถึงบริการในโรงพยาบาล
ระดับทุติยภูมิ ดังนั้นในการศึกษาครั้งต่อไปควรพัฒนาระบบติดตามสตรีหลังคลอดที่มีภาวะเบาหวาน
ขณะตั้งครรภ์ โดยการมีส่วนร่วมของโรงพยาบาลระดับตติยภูมิและปฐมภูมิ เพื่อให้สตรีหลังคลอดเหล่านี้
สามารถเข้าถึงระบบบริการได้สะดวก ลดการขาดนัด การขาดยา และได้รับการเฝ้าระวังการเกิด
เป็นโรคเบาหวานในอนาคตอย่างต่อเนื่องและมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น