Page 231 - Best practice_Oral2024 (อัพเดต)
P. 231
F17
ระบบทางเดินหายใจเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลปทุมธานีและโรงพยาบาลชุมชน 7 แห่ง ระหว่างเดือน
ตุลาคม 2565 ถึงเดือนกุมภาพันธ์ 2567 ขั้นตอนการดำเนินการ มี 2 ส่วน คือ ส่วนที่ 1 ขั้นเตรียมการ ดังนี้
เตรียมความพร้อมทีมวิจัย การสนทนากลุ่ม ศึกษาข้อมูลพื้นฐาน ทบทวนวรรณกรรม จากนั้นสร้างสัมพันธภาพ
สอบถามความต้องการมีส่วนร่วม ชี้แจงวัตถุประสงค์และประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ ส่วนที่ 2 ขั้นดำเนินการ
ดังนี้ 1) วิเคราะห์สถานการณ์ จัดลำดับความสำคัญจากข้อมูลเวชระเบียน การประชุมกลุ่ม การสะท้อนปัญหา
การส่งต่อที่จากโรงพยาบาลชุมชนทั้ง 7 แห่ง จากนั้นประชุมระดมสมองเพื่อกำหนดประเด็นปัญหาและร่วมกัน
วางแผน 2) พัฒนารูปแบบการดูแลและส่งต่อผู้ป่วยเด็กที่มีปัญหาระบบทางเดินหายใจในเครือข่ายจังหวัด
ปทุมธานี นำเสนอข้อมูลผู้เกี่ยวข้องเพื่อวิเคราะห์ความต้องการและร่วมกันพิจารณาความเป็นไปได้ วงรอบที่ 1
สนทนากลุ่มเพื่อกำหนดประเด็นปัญหา เป้าหมาย ร่างรูปแบบการพัฒนา แนวทางประเมินผล และพิจารณา
ความเป็นไปได้จนเป็นที่ยอมรับจากทีมสหสาขา นำไปทดลองกับโรงพยาบาลนำร่อง 3) วงรอบที่ 2 ประชุม
เชิงปฏิบัติการกับวิชาชีพเกี่ยวข้อง ปรับปรุงตามสภาพปัญหาอุปสรรคที่พบหรือตามข้อเสนอแนะ ให้เกิด
ความเหมาะสม ง่ายต่อการปฏิบัติ และนำไปทดลองปฏิบัติซ้ำ สังเกตและสะท้อนการปฏิบัติ พัฒนาจนได้
รูปแบบที่ครอบคลุม 4) ติดตามและประเมินผล ทีมผู้วิจัยร่วมกันประเมินผล ประกอบด้วย (1) ประเมินผลวงจร
เชิงปฏิบัติการ (2) ประเมินผลลัพธ์จากแบบสอบถาม
ผลการศึกษา
ระยะที่ 1 สถานการณ์ปัญหาที่ต้องการพัฒนา ประกอบด้วย (1) ผู้ป่วยเด็กส่วนใหญ่มีอาการทรุด
ระหว่างส่งต่อหรือต้องใส่ท่อช่วยหายใจเมื่อถึงโรงพยาบาลปทุมธานี ด้านบุคลากรไม่มีกุมารแพทย์ส่งผลต่อ
การตัดสินใจในการใส่ท่อช่วยหายใจก่อนนำส่ง พบสมรรถนะพยาบาลที่ต้องเพิ่มทักษะพยาบาลผู้ป่วยเด็ก
พยาบาลทำหน้าที่ส่งต่อหมุนเวียนกันมาและบางหน่วยงานไม่มีพยาบาลเฉพาะที่ดูแลผู้ป่วยเด็ก รวมทั้ง
การฝึกอบรมพยาบาลเฉพาะทางมีน้อย ไม่มีช่องทางขอคำปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ และไม่มีแนวปฏิบัติเป็นมาตรฐาน
เดียวกัน (2) ภาวะแทรกซ้อนขณะนำส่ง พบท่อช่วยหายใจเลื่อนหลุด สาเหตุจากประสบการณ์/ทักษะ
ของพยาบาล และระยะทางส่งต่อแต่ละโรงพยาบาล (3) ด้านกระบวนการ ซ้ำซ้อน รอนาน พบปัญหา
โรงพยาบาลชุมชนต้องโทรประสานหลายที่ ทักษะแพทย์/พยาบาล และการเปลี่ยนถ่ายอุปกรณ์เครื่องมือ และ
(4) ผู้ป่วยพ้นภาวะวิกฤตไม่สามารถส่งกลับ (refer back) เนื่องจากทีมพยาบาลไม่มั่นใจในการดูแล
ระยะที่ 2 พัฒนารูปแบบฯ มี 4 ขั้นตอน ตามกระบวนการ PAOR 6 วงรอบ ดังนี้ วงรอบที่ 1 มีอาการทรุดลง
ระหว่างส่งต่อ พบประเด็น 1) ตัดสินใจช่วยเหลือก่อนเคลื่อนย้ายจากโรงพยาบาลชุมชนไม่เหมาะสม
2) สมรรถนะพยาบาลที่ทำหน้าที่ส่งต่อ 3) เข้าถึงหน่วยงานวิกฤตล่าช้า ศึกษาหลักฐานเชิงประจักษ์และพัฒนา
เครื่องมือประเมิน เพื่อประเมินความรุนแรงในการตัดสินใจและการนำส่ง พบว่าการประเมินและช่วยเหลือได้
เหมาะสมเพิ่มขึ้นจากร้อยละ 75.5 เป็นร้อยละ 96.8 วงรอบที่ 2 พัฒนานวัตกรรมอุปกรณ์การบำบัดด้วย
ออกซิเจนที่มีอัตราการไหลสูง (Heated humidified high flow nasal cannula: HHHFNC) นำสู่การปฏิบัติ
ลดอัตราใส่ท่อช่วยหายใจในการส่งต่อ วงรอบที่ 3 วัตกรรมยึดท่อช่วยหายใจป้องกันท่อเลื่อนหลุด ทำเป็นแนวปฏิบัติ
อัตราเลื่อนหลุดท่อช่วยหายใจลดลงจากร้อยละ 35.5 เป็นร้อยละ 3.4 แต่ยังมีอาการเปลี่ยนแปลงระหว่างนำส่ง
อาการทรุดลง จากปัญหาสมรรถนะความชำนาญของพยาบาลส่งต่อ ขาดประสบการณ์ ขาดทักษะ และไม่ผ่าน
การอบรมทักษะการดูแลที่โรงพยาบาลแม่ข่ายจัดให้ วงรอบที่ 4 พัฒนาสมรรถนะพยาบาล 1) จัดอบรมเชิงรุก
ให้โรงพยาบาลชุมชน 2) จัดฝึกปฏิบัติสถานการณ์จริงหน้างาน 3) จัดทำแนวปฏิบัติการพยาบาล ได้รับการอบรม
ครอบคลุมขึ้น วงรอบที่ 5 พัฒนาการประสานส่งต่อซ้ำซ้อน ใช้เวลามาก ปัญหาเปลี่ยนถ่ายชุดอุปกรณ์ มีการพัฒนา
1) แนวทางส่งต่อ Fast track 2) Standing order 3) แนวทางปฏิบัติสำหรับพยาบาล พบระยะเวลาประสานงาน
ลดลง การตรวจที่ห้องฉุกเฉินก่อนย้ายเข้าหน่วยงานลดลง แต่ไม่สามารถส่งผู้ป่วยเด็กที่พ้นวิกฤตกลับได้ วงรอบที่ 6
ไม่สามารถส่งกลับเมื่อพ้นวิกฤตได้จึงส่งเสริมศักยภาพบุคลากร 1) จัดฝึกปฏิบัติทักษะและสร้างความมั่นใจ