Page 230 - Best practice_Oral2024 (อัพเดต)
P. 230
F16
การพัฒนารูปแบบการดูแลและส่งต่อผู้ป่วยเด็กที่มีปัญหาระบบทางเดินหายใจในเครือข่าย
จังหวัดปทุมธานี โดยกระบวนการมีส่วนร่วม
นางสาวกันทิมา ขาวเหลือง, แพทย์หญิงศิริพร วรพงศ์มนูพงศ์, นางภิตินันท์ วสุโชตินันท์กุล,
นางสาวนรินทร์ กมลจิตร และนางสาวนฤมล ฉายาชวลิต
โรงพยาบาลปทุมธานี จังหวัดปทุมธานี เขตสุขภาพที่ 4
ประเภท วิชาการ
ความสำคัญของปัญหาวิจัย
กระทรวงสาธารณสุขให้ความสำคัญกับแผนพัฒนาระบบบริการสุขภาพ (Service plan) เพื่อให้มี
การจัดการระบบดูแลและส่งต่อผู้ป่วยเด็กที่มีปัญหาระบบทางเดินหายใจอย่างเหมาะสมตามมาตรฐานและ
มีประสิทธิภาพ ตลอดจนมีการพัฒนาสถานพยาบาลทุกระดับให้ดูแลผู้ป่วยได้ตามบริบท ช่วยลดอัตราการเสียชีวิต
และลดภาวะแทรกซ้อนที่ป้องกันได้ ข้อมูลสถิติสำนักนโยบายและยุทธศาสตร์ กระทรวงสาธารณสุข ประเทศไทย
ปี 2560-2565 มีผู้ป่วยเด็กที่มีปัญหาระบบทางเดินหายใจ เฉลี่ยปีละ 900,000 ราย แต่พบว่าความสามารถ
ในการดูแลผู้ป่วยเด็กที่มีปัญหาระบบทางเดินหายใจของโรงพยาบาลตั้งแต่ระดับชุมชนจนถึงโรงพยาบาล
ระดับตติยภูมิในด้านต่าง ๆ เช่น ศักยภาพบุคลากรทางการแพทย์ อุปกรณ์เครื่องมือการแพทย์ยังมี
ความแตกต่างกัน แม้จะเป็นโรงพยาบาลระดับเดียวกัน การรักษาผู้ป่วยเด็กที่มีปัญหาระบบทางเดินหายใจ
ให้มีชีวิตรอด ปลอดภัยจากภาวะแทรกซ้อน ประกอบด้วย การวินิจฉัยโรค การรักษาที่ถูกต้องตั้งแต่เริ่มแรก
การพยาบาลขณะนอนรักษาในโรงพยาบาล เมื่อมีอาการรุนแรงเกินขีดศักยภาพ จะมีระบบส่งต่ออย่างเหมาะสม
และทันเวลาไปรักษาต่อในโรงพยาบาลที่มีศักยภาพสูงกว่าอย่างปลอดภัย
โรงพยาบาลปทุมธานีเป็นโรงพยาบาลทั่วไประดับ s และมีโรงพยาบาลชุมชนในเครือข่าย จำนวน 7 แห่ง
โดยโรงพยาบาลชุมชนที่มีกุมารแพทย์มีเพียง 3 แห่ง แต่ยังไม่สามารถดูแลผู้ป่วยเด็กที่มีปัญหาระบบทางเดินหายใจ
วิกฤตในโรงพยาบาลชุมชนได้ หากมีปัญหาการเจ็บป่วยที่เกินขีดความสามารถโรงพยาบาลชุมชน จะถูกส่งต่อ
โรงพยาบาลปทุมธานี สถิติใน ปี 2563-2565 มีผู้ป่วยเด็กที่มีปัญหาระบบทางเดินหายใจส่งต่อ จำนวน 58, 45
และ 56 คิดเป็นร้อยละ 55.9, 51.0 และ 58.7 การทบทวนเวชระเบียนผู้ป่วยเด็กที่ส่งต่อจากโรงพยาบาลชุมชน
พบภาวะแทรกซ้อนขณะส่งต่อจำนวน 32 ราย คิดเป็นร้อยละ 64.2 ระหว่างส่งต่อมีท่อช่วยหายใจลึก เลื่อนหลุด
ร้อยละ 16.5 รวมทั้งมีอาการทรุดลงต้องใส่ท่อช่วยหายใจ จำนวน 3 ราย
ทีมผู้วิจัยตระหนักถึงความสำคัญการพัฒนาให้ผู้ป่วยเด็กที่มีปัญหาระบบทางเดินหายใจปลอดภัย
ไม่มีภาวะแทรกซ้อนที่สามารถป้องกันได้ ต้องอาศัยการมีส่วนร่วมของบุคลากรที่เกี่ยวข้องทั้งเครือข่าย จึงได้นำ
กระบวนการวิจัยเชิงปฏิบัติการแบบมีส่วนร่วม (Participatory Action Research) ซึ่งเป็นวิจัยที่เป็นการปรับปรุง
เปลี่ยนแปลงวิธีปฏิบัติอย่างเป็นระบบ เน้นการมีส่วนร่วมในการวางแผน ดำเนินการ ติดตามประเมินผล
และสะท้อนการปฏิบัติ เพื่อนำสู่ผลสำเร็จการพัฒนารูปแบบการส่งต่อผู้ป่วยเด็กที่มีปัญหาระบบทางเดินหายใจ
ในเครือข่ายจังหวัดปทุมธานี
วัตถุประสงค์การศึกษา เพื่อพัฒนาและประเมินประสิทธิภาพรูปแบบการดูแลและส่งต่อผู้ป่วยเด็กที่มีปัญหา
ระบบทางเดินหายใจในเครือข่ายจังหวัดปทุมธานี โดยกระบวนการมีส่วนร่วม
วิธีการศึกษา
การวิจัยเชิงปฏิบัติการแบบมีส่วนร่วม (Participatory Action Research) โดยใช้แนวคิด Kemmis
and Mc Taggart และกระบวนการ PAOR (Plan-Acting-Observe-Reflecting) ศึกษาในผู้ป่วยเด็กที่มีปัญหา