Page 636 - Best practice_Oral2024 (อัพเดต)
P. 636
Q22
การเปรียบเทียบความรู้ ความเข้าใจ ความมั่นใจ และผลลัพธ์ ก่อนและหลังการใช้รูปแบบ
ลดภาระงานในการบริหารจัดการความเสี่ยงทางคลินิกและกิจกรรมทบทวน
การดูแลผู้ป่วยหอผู้ป่วยอายุรกรรม โรงพยาบาลพนัสนิคม จังหวัดชลบุรี
นายแพทย์ปัณณวัฒน์ มงคลรัตนกูล
โรงพยาบาลพนัสนิคม จังหวัดชลบุรี เขตสุขภาพที่ 6
ประเภท วิชาการ
ความสำคัญของปัญหาวิจัย
การดูแลผู้ป่วยให้ได้รับการรักษาอย่างถูกต้อง และปลอดภัยเป็นหน้าที่หลักของโรงพยาบาล ในขณะที่
แนวโน้มของผู้รับบริการสูงขึ้น ภาระงานเพิ่มขึ้น จำนวนบุคลากรเท่าเดิม ทำให้เกิดความไม่ปลอดภัยแก่ผู้ป่วย
กิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับมาตรฐานความปลอดภัยของผู้ป่วยเช่น กิจกรรมทบทวนความเสี่ยงและกระบวน
การดูแลผู้ป่วยให้ปลอดภัยจึงควรทบทวนมากขึ้น แต่ด้วยภาระงานที่มากทำให้เจ้าหน้าที่เกิดภาวะหมดไฟ
(burnout) จากประเด็นดังกล่าว ในปี 2566 คณะกรรมการพัฒนาคุณภาพทางคลินิก สาขาอายุรกรรม จึงได้
พัฒนารูปแบบการลดภาระงานในการบริหารจัดการความเสี่ยงและกิจกรรมทบทวนการดูแลผู้ป่วยในหอผู้ป่วย
อายุกรรมขึ้น เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและคุณภาพการดูแลผู้ป่วยที่ได้มาตรฐาน รวมถึงลดภาระงานของบุคลากร
พัฒนาความรู้ ความเข้าใจถึงแนวทางในการดูแลรักษาพยาบาลตามส่วนขาด และตรงกับความต้องการของ
บุคลากรทางการพยาบาล ทำให้ผู้ป่วยได้รับการดูแลที่มีคุณภาพ ปลอดภัย บุคลากรมีความสุข
วัตถุประสงค์การศึกษา
เพื่อเปรียบเทียบความรู้ ความเข้าใจ ความมั่นใจ และผลลัพธ์ ก่อนและหลังการใช้รูปแบบลดภาระงาน
ในการบริหารจัดการความเสี่ยงและกิจกรรมทบทวนการดูแลผู้ป่วย หอผู้ป่วยอายุกรรม โรงพยาบาลพนัสนิคม
จังหวัดชลบุรี
วิธีการศึกษา
การวิจัยกึ่งทดลองโดยใช้กลุ่มเดียวเป็นระยะเวลา 1 ปี ตั้งแต่ วันที่ 1 ตุลาคม 2565 ถึงวันที่
30 กันยายน 2566 ผู้เข้าร่วมวิจัยประกอบด้วยหัวหน้าและพยาบาล หอผู้ป่วยอายุรกรรมหญิง อายุรกรรมชาย
หอผู้ป่วยหนัก โดยคำนวณจากสูตรของทาโร ยามาเน (Taro Yamane, 1973) โดยผู้วิจัยได้ใช้ขนาดตัวอย่าง
ทั้งสิ้น 36 คน วิธีการเลือกกลุ่มตัวอย่างแบบเฉพาะเจาะจง เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยได้แก่ 1) รูปแบบลดภาระงาน
ในการบริหารจัดการความเสี่ยงทางคลินิกและกิจกรรมทบทวนการดูแลผู้ป่วย 2) แบบประเมินความรู้ ความเข้าใจ
ความมั่นใจและผลลัพธ์ ของการใช้รูปแบบลดภาระงานในการบริหารจัดการความเสี่ยงทางคลินิกและกิจกรรม
ทบทวนการดูแลผู้ป่วย หอผู้ป่วยอายุกรรม โดยสถิติที่ใช้ ได้แก่ ความถี่ ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (standard
deviation, SD) ค่าเฉลี่ย สถิติ Paired t- test วิเคราะห์ข้อมูล โดยใช้โปรแกรม SPSS