Page 477 - Best Practice Poster 2024 (อัพเดต)
P. 477
L26
ประสิทธิผลของตำรับยาสมุนไพรศุขไสยาศน์ในผู้ป่วยนอนไม่หลับ โรงพยาบาลอ่างทอง
นางสาวนวมินทรา กล่อมจันทร์
โรงพยาบาลอ่างทอง จังหวัดอ่างทอง เขตสุขภาพที่ 4
ประเภท วิชาการ
ความสำคัญของปัญหาวิจัย
ภาวะการนอนไม่หลับเป็นปัญหาที่พบบ่อยที่สุด ซึ่งพบว่าคนไทยวัยทำงานในช่วงอายุ 25 – 40 ปี
จำนวนร้อยละ 70 เผชิญปัญหานอนไม่หลับมากถึงร้อยละ 40 หลับยากมากขึ้นร้อยละ 30 ซึ่งสิ่งเหล่านี้ทำให้
ประสิทธิภาพการทำงานลดลง ยังส่งผลกระทบต่อการตัดสินใจรวมไปถึงเรื่องความจำ อารมณ์แปรปรวน
หงุดหงิดง่าย การทำงานของฮอร์โมนลดลงและร่างกายอ่อนแอ ซึ่งจะเห็นว่าปัญหาที่เกิดจากภาวะนอนไม่หลับ
เป็นปัญหาที่สำคัญที่ควรได้รับการรักษา
ตำราพระโอสถพระนารายณ์ประกอบด้วยตำรับยาจำนวน 81 ขนาน ซึ่งหนึ่ง ในนั้น คือตำรับยา
สมุนไพรศุขไสยาน์เป็นขนานที่ 44 มีสรรพคุณช่วยให้นอนหลับ และเจริญอาหาร การศึกษานี้จึงมีวัตถุประสงค์
เพื่อประเมินประสิทธิผลและอาการไม่พึงประสงค์จากการใช้ตำรับยาสมุนไพรศุขไสยาศน์ ณ โรงพยาบาล
อ่างทอง เพื่อนำข้อมูลที่ได้ใช้เป็น หลักฐานเชิงประจักษ์เพื่อยืนยันประโยชน์และความปลอดภัยของการใช้ตำรับ
ยาสมุนไพรศุขไสยาศน์ และยังสามารถเป็นแนวทางเวชปฏิบัติของบุคลากรทางการแพทย์เพื่อใช้ในการดูแล
ผู้ป่วยต่อไปได้
วัตถุประสงค์การศึกษา
1. เพื่อเปรียบเทียบคุณภาพการนอนหลับของผู้ป่วยนอนไม่หลับก่อนและหลังที่ได้รับการรักษาด้วย
ตำรับยาสมุนไพรศุขไสยาศน์
2. เพื่อเปรียบเทียบคุณภาพชีวิตของผู้ป่วยนอนไม่หลับก่อนและหลังที่ได้รับการรักษาด้วยตำรับ
ยาสมุนไพรศุขไสยาศน์
3. เพื่อศึกษาอาการไม่พึงประสงค์ของผู้ป่วยนอนไม่หลับที่ได้รับการรักษาด้วยตำรับยาสมุนไพรศุข
ไสยาศน์
วิธีการศึกษา
การศึกษาครั้งนี้เป็นการวิจัยแบบทดลองเบื้องต้น (Pre Experiment Research) เปรียบเทียบกลุ่ม
เดียววัดผลก่อน-หลัง (One group pre-posttest design) กลุ่มตัวอย่าง คือ ผู้ป่วยที่มีอาการนอนไม่หลับมาแล้ว
อย่างน้อย 1 เดือน ไม่เคยได้รับประทานตำรับยาสมุนไพรศุขไสยาศน์ ที่มารับบริการที่คลินิกกัญชาทาง
การแพทย์ โรงพยาบาลอ่างทอง จำนวน 20 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แบบสอบถาม ประกอบไปด้วย
ข้อมูล 4 ส่วน คือ ข้อมูลทั่วไป คุณภาพการนอนหลับ (PSQI) คุณภาพชีวิต (EQ-5D-5L) แบบซักประวัติอาการ
ไม่พึงประสงค์จากการใช้ตำรับยาสมุนไพรศุขไสยาศน์ และแบบประเมินไม่พึงประสงค์จากการใช้ยา (Naranjo’
algorithm) ซึ่งผ่านการตรวจสอบความตรงโดยผู้เชี่ยวชาญเก็บรวบรวมข้อมูลโดยการทดลองในกลุ่มตัวอย่าง
ระหว่าง 1 กรกฎาคม 2566 ถึง20 กันยายน 2566 วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติพรรณนา และสถิติอนุมาน
( Paired samples t-test ) การศึกษานี้ได้ผ่านการพิจารณาจริยธรรมการวิจัยในมนุษย์จังหวัดอ่างทอง เลขที่
ATGEC 38/2566