Page 64 - Best practice_Oral2024 (อัพเดต)
P. 64
A25
อภิปรายผล
1. รูปแบบการดูแลผู้ป่วย STEMI ด้านการดูแลก่อนถึงโรงพยาบาล (Pre-hospital) มีความสำคัญ
ต่อการนำผู้ป่วยเข้าสู่การวินิจฉัยและให้รักษาโดยเร็ว อันนำไปสู่การรอดชีวิตและลดความรุนแรงของโรค
2. การพัฒนาสมรรถนะบุคลากรในการดูแลผู้ป่วย STEMI มีความสำคัญต่อการให้การประเมินดูแล
และเฝ้าระวังที่เหมาะสมอันนำไปสู่การประเมินภาวะทรุดลงและช่วยเหลือผู้ป่วยได้อย่างรวดเร็ว และส่งผล
สุดท้ายต่อการรอดชีวิต ถึงแม้ว่าอัตราการเสียชีวิตของผู้ป่วย STEMI จะลดลงไม่มากแต่การพัฒนาสมรรถนะ
บุคลากรทำให้บุคลากรมีความรู้และสามารถดูแลผู้ป่วยได้อย่างมั่นใจมากขึ้น
3. รูปแบบการดูแลผู้ป่วยในโรงพยาบาล ระบบการส่งต่อและการดูแลต่อเนื่อง จะทำให้ผู้ป่วยได้รับ
การดูแลอย่างเหมาะสมช่วยอุบัติการณ์รุนแรง อัตราการเสียชีวิต และอัตราการเสียชีวิตหลังจำหน่ายได้
สรุปและข้อเสนอแนะ
สรุป การพัฒนารูปแบบการดูแลผู้ป่วยที่เกิดจากการวิเคราะห์ปัญหาขององค์กรเทียบกับมาตรฐาน
ของการดูแลผู้ป่วยโรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดเฉียบพลันชนิด STEMI แล้วออกแบบระบบงานจากมาตรฐาน
หรือหลักฐานทางวิชาการ ภายใต้การมีส่วนร่วมคิดของผู้ปฏิบัติ การประเมินผลลัพธ์และปรับปรุงการปฏิบัติ
อย่างต่อเนื่อง ทำให้เกิดการแก้ปัญหาที่เหมาะสมกับบริบท ส่งผลลัพธ์ที่ดีต่อผู้ป่วย ตลอดจนความพึงพอใจ
ของผู้ให้บริการ อันจะนำไปสู่ความเข็มแข็งของผู้มีส่วนร่วม และความยั่งยืนในการพัฒนา ไม่ใช่เพียงแต่พัฒนา
ตามแนวนโยบายขององค์กรที่เหนือกว่าเท่านั้น การศึกษาการพัฒนารูปแบบฯ ครั้งนี้ยังต้องมีการติดตาม
และปรับปรุงกลยุทธ์ในประเด็นการดูแล Pre-hospital เนื่องจากกลุ่มเสี่ยงที่เป็นผู้สูงอายุในจังหวัดเลยมีจำนวน
มากขึ้น ซึ่งเป็นอุปสรรคในการเข้าถึงบริการที่รวดเร็ว
ข้อเสนอแนะ/โอกาสพัฒนา
1. ควรเน้นการส่งเสริม Heath literacy ในกลุ่มเสี่ยงและประชาชนทั่วไปเพื่อไม่ให้เกิดโรคกล้ามเนื้อ
หัวใจขาดเลือดเฉียบพลัน รวมทั้งมีความตระหนักรู้ถึงอาการเจ็บหน้าอกที่ต้องรีบมาโรงพยาบาล
2. เผยแพร่แนวทางแก่โรงพยาบาลในเขตสุขภาพที่ 8 และโรงพยาบาลที่มีบริบทใกล้เคียงกัน
เพื่อให้สามารถดูแลผู้ป่วย STEMI อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
3. มีแผนในการเปิดห้องปฏิบัติการสวนหัวใจระดับ 2 ที่โรงพยาบาลเลยในปี 2567 เพื่อให้ผู้ป่วย
ได้รับการฉีดสีและสวนหัวใจได้ตามมาตรฐานมากขึ้น